วันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2557

เคาท์เตส อลิซาเบธ บาโธรี่

เคาท์เตส อลิซาเบธ บาโธรี่ (Countess Elizabeth Báthory) เกิดเมื่อวันที่ 7 สิงหาคมค.ศ. 1560 ในเมือง Nyírbátor ประเทศฮังการี เป็นคนในตระกูล บาโธรี่ ซึ่งมีความเกี่ยวดองกับกษัตริย์ฮังการีในสมัยนั้น
อลิซาเบธ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1614 (54 ปี) ในเมือง Čachtice ประเทศสโลวาเกีย

ประวัติ

เคาท์เตส อลิซาเบธ บาโธรี่ เป็นหญิงสาวที่มีความเชื่อในเรื่องชีวิตที่เป็นอมตะ และต้องการคงร่างของตนเองให้คงดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ จึงมีความคิดที่ว่า หากได้อาบเลือดของหญิงสาวบริสุทธิ์แล้ว จะทำให้ตนเองดูอ่อนเยาว์ได้ตลอดไป เธอจึงสั่งให้คนรับใช้ไปเอาร่างของหญิงสาวบริสุทธิ์ มากรีดเอาเลือดใส่อ่างด้วยเครื่อง ไอรอน เมเดน (Iron maiden) แล้วอาบต่างน้ำ โดยมีเหยื่อที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับเธอไปไม่น้อยกว่า 600 คน กว่าที่เธอจะถูกคนจับไปขังในคุกมืดจนตาย เธอได้รับสมญานามว่า The Blood Countess และ Countess Dracula
เอลิซาเบธ เกิดในปราสาทเชิงเขาคาร์เทียนใกล้ๆ กับแคว้นทรานซิลวาเนีย ซึ่งเป็นของตระกูลบาโธรี่อันเป็นตระกูลขุนนางชั้นสูงของฮังการี่และสืบสายมา จากตระกูลแฮบสเบิร์กอันเก่าแก่ของยุโรป ตระกูลบาโธรี่จึงเป็นตระกูลที่เก่าแก่ร่ำรวย มีอำนาจล้นหลาม เป็นที่น่ายำเกรงของประชาชนทั่วไป และปกครองแคว้นทรานซิลวาเนียมาหลายต่อหลายยุคสมัย ความจริงแล้ว เอลิซาเบธไม่ใช่เด็กหญิงที่สวยงาม เธอออกจะขี้เหร่ด้วยซ้ำแต่ด้วยความที่เป็นลูกผู้ดีมีตระกูล จนจักรพรรดิมาร์คมิชิเลียนที่ 2 เคยมาขอดูตัวด้วยซ้ำ เอลิซาเบธจึงมีทั้งความสวยทั้งหน้าตา รูปร่าง (เธอคิดเอาเอง) และชาติตระกูลสูงส่ง แต่มันเหมือนนรกจับยัดมาเกิด เพราะเธอกลับมีอาการบกพร่องทางจิตอย่างรุนแรง
เป็นเรื่องธรรมดาของตระกูลเก่าแก่ที่มีการแต่งงานกันเองในหมู่ญาติเพื่อ รักษาทรัพย์สมบัติและอำนาจเอาไว้ ทำให้ผู้สืบสายเลือดตระกูลนี้จำนวนมากมีอาการบกพร่องทางจิตอันเนื่องมาจาก ลักษณะทางพันธุกรรม เป็นต้นว่าโรคฮิสทีเรีย พฤติกรรมรักร่วมเพศ หรือแม้แต่การสืบทอดของสาวกลัทธิบูชาปีศาจ ผู้มักมากในกาม ฯลฯ เอลิซาเบธ ก็เช่นเดียวกัน นิสัยเพี้ยนของเอลิซาเบธ ปรากฏตั้งยังเล็กๆ อยู่นั่นแหละ เอลิซาเบธนั้นแทนที่จะพอใจกับเกียรติยศที่ผู้คนเตรียมใส่พานทองมาประเคนให้ แต่เธอกลับใฝ่ต่ำ ทำท่าเบื่อหน่ายพวกพี่เลี้ยง ครูอาจารย์ที่มาอบรมสั่งสอน เธอกลับเกเรหนีเรียน แอบไปเที่ยวเล่นกับลูกชาวนา ชาวไร่ที่เป็นทาสติดที่ดิน เธอชอบเล่นสัปดนเสียจนท้องเมื่ออายุเพียง 13
ข่าวที่น่าอับอายถูกส่งไปบอกผู้เป็นมารดาอย่างเร่งด่วน และก่อนที่จะมีผู้ใดระแคะระคาย เธอก็ถูกส่งตัวไปไว้ในปราสาทแห่งหนึ่งของตระกลูบาโธรี่ที่ห่างไกลสายตาผู้คน ท่านแม่ของเธออ้างว่าลูกสาวไม่สบายต้องการอยู่ในที่สงบเพื่อรักษาตัว และเมื่อทารกเกิดมาก็อาจถูกฆ่าทิ้งหรือไม่ก็ถูกส่งไปที่ลับหูลับไม่ให้มีใคร รู้เด็ดขาดเลยว่าเจ้าสาวเคยมีลูกกับพวกไพร่ แต่ใครไม่รู้ว่า ทารกลูกคนแรกของเอลิซาเบธหลังจากลืมตามายังโลก สุดท้ายแล้วซะตากรรมเป็นเช่นใด
เมื่อเธอโตขึ้น เอลิซาเบธ เริ่มมีอาการป่วยเป็นโรคปวดหัวเรื้อรังจนตลอดชีวิตของเธอ มีหมอหลายคนทำการรักษาแต่ก็ไม่หายจนกระทั่ง มีเรื่องเล่ากันว่าในสมัยเด็กที่เธอเกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรง จนกัดเนื้อไหล่ของสาวใช้ที่เข้ามาพยาบาล หลุดออกมา สาวใช้ร้องลั่น เอลิซาเบธได้ยินเสียงกรีดร้องของสาวใช้นั่นเอง น่าแปลกที่อาการปวดหัวของเธอกลับหายเป็นปลิดทิ้ง นับแต่นั้นมา เกิดอาการปวดหัว เธอก็จะทรมานสาวใช้เพื่อให้เสียงร้องเหล่านั้นเป็นยาระงับอาการของเธอ
ปี 1575 เมื่อเอลิซาเบธ อายุ 15 ปี เธอก็แต่งงานกับท่านเคานท์ฟีเรนซ์ นาดาสดี้ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องที่อายุมากกว่า 11 ปี (หลังจากแต่งงานแล้ว เอลิซาเบธ ก็ยังคงใช้ชื่อตระกูลเดิม) ทั้งสองย้ายที่อยู่ไปยังปราสาทเซติซ ปราสาทกว้างใหญ่แต่มืดทะมึนดูน่าสยดสยองกลางป่าลึกบนภูเขาคาร์ลปาเชีย ในสโลวาเกีย เพื่อจะอบรมเตรียมรับตำแหน่งเคาน์เตส นายหญิงแห่งอาณาจักรอันไพศาล ท่านเคานท์ฟีเรนซ์ นาดาสดี้ ไม่ใช่คนดีมากนัก ออกจะจิตวิตถารเช่นเดียวกับอลิซาเบธเสียด้วยซ้ำ สองสามีภรรยามักสนุกตื่นเต้น สนุกสนาน อยู่ด้วยกันเสมอกับการได้ทรมานบ่าวไพร่ ซึ่งเคาน์ฟีเรนซ์ มักจะเล่าให้อลิซาเบธฟังถึงการที่เขาเคยทรมานทรกรรมเชลยชาวเติร์กอย่างโหด เหี้ยม และอลิซาเบธเองก็สนองคิดค้นหาวิธีสยดสยองต่างๆนาๆมาทดลองใช้กับคนของตัวบ้าง
ทั้งสองมีความสุขกับรสนิยมที่ต้องกันอย่างนี้มากล้นจนมีบุตรธิดาด้วยกันถึง 4 คน แต่ฟีเรนซ์มักจะไปออกรบตามที่ต่างๆจนไม่ค่อยอยู่ติดปราสาท ชีวิตสมรสของเอลิซาเบธ จึงไม่หวานชื่นเท่าใดนัก อาการปวดหัวของเธอกำเริบถี่ขึ้นและการทรมานสาวใช้ก็ค่อยๆหนักข้อขึ้นทุกที เป็นต้นว่า การแทงเข็มเข้าที่ปลายนิ้วของสาวใช้ หรือจับสาวใช้มาทาน้ำผึ้งทั่วตัวแล้วโยนลงไปในห้องใต้ดินที่เต็มไปด้วยมด
แต่นี่ก็ยังไม่นับเป็นการเปิดฉากตำนานเลือดของเธอเลยด้วยซ้ำ เอลิซาเบธ เริ่มหางานอดิเรกใหม่มาทดแทนชีวิตอันน่าเบื่อ ซึ่งก็คือมนต์ดำที่คนรับใช้เป็นผู้แนะนำนั่นเอง เธอมักจะลงไปหมกตัวอยู่ในห้องใต้ดินและประกอบพิธีกรรมประหลาดกับคนรับใช้ บ่อยครั้ง และในไม่ช้าเอลิซาเบธ ก็เริ่มมีชู้ ฟีเรนซ์รับรู้เรื่องนี้แต่ใจกว้างพอที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น หากไม่นานนักแม่ของฟีเรนซ์ก็ย้ายมาอยู่ด้วย จึงเป็นการเปิดสงครามเย็นระหว่างแม่สามีลูกสะใภ้ในที่สุด
เอลิซาเบธมักประพฤติตัวเป็นภรรยาผู้เรียบร้อยต่อหน้าสามี แต่พอลับหลัง เธอก็ทำกระทั่งการจับสาวใช้ของแม่สามีมาทรมานจนตาย จะอย่างไรก็ตาม เอลิซาเบธมีลูก 4 คน จึงทำให้สภาพครอบครัวยังไม่ถึงกับพังทลายลงในทีเดียว ชีวิตฆาตกรของเธอเริ่มต้นขึ้นหลังจากการตายของสามีเสียมากกว่า ปี 1600 ในฤดูหนาว เอลิซาเบธอายุได้ 40 ปี ฟีเรนซ์สามีคู่ชีวิตซาดิสต์ได้เสียชีวิตลงในขณะอายุ เพียง 51 ปี ทิ้งสมบัติและอำนาจทุกอย่างไว้ในมือของภรรยา และแทบจะในวันเดียวกันนั้นเอง แม่ก็จากโลกนี้ตามลูกชายไปอีกคน มีข่าวลือภายหลังว่าเป็นการวางยาพิษ
ทีนี้ก็ไม่มีใครจะมาขวางทางเอลิซาเบธได้อีก เธอกลายเป็นราชินีในอาณาจักรของเธอ ชีวิตประชาชนก็เหมือนกับลูกไก่ในกำมือ จะบีบจะคลายก็ขึ้นอยู่กับใจเธออย่างเดียว จะมีก็แต่อย่างหนึ่งที่ไม่เป็นไปดังใจคิด เอลิซาเบธมีความภูมิใจในรูปโฉมของตัวเองมาก แต่ตัวเธอก็ไม่สามารถเอาชนะกาลเวลาได้ นับวันร่างกายเหี่ยวยานตามกาลเวลา เธอต้องการความสวย ความสวยที่เป็นอมตะตลอดกาล
มีการสั่งให้แม่มดหมอผีที่คุ้นเคยทำยาคืนความสาวมาใช้หลายขนาน แต่ไม่ว่าอันไหนก็ไม่ค่อยเห็นผลเท่าใดนัก จนกระทั่งเช้าวันหนึ่ง เธอตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตาแต่งองค์ทรงเครื่อง ทันใดนั้นขณะที่เธอส่องดูเงาตัวเองในกระจกเธอก็ต้องชะงักเพ่งมองแล้วมองอีก นี่ความชราย่างกรายเข้ามาทำร้ายตัวเธอแล้วหรือจริงซินะ เธอนึกได้ว่า อายุเธอปาเข้าไปตั้ง 45 แล้วนี่นา เอลิซาเบธใจหายวาบถึงจะไม่สวยแต่เธอก็ไม่อยากแก่และกลัวอย่างที่สุด เธอรู้สึกเหมือนความแก่เฒ่านั้นมันมีตัวตน เอาปากครีมมาหนีบดึงถึ้งเนื้อที่เต่งตึงผุดผ่องของเธอทีละชิ้นๆ เมื่อเธอหงุดหงิด ขัดข้องก็ยิ่งต้องหาเรื่องระบายอารมณ์และความบันเทิงใดเล่า จะเท่ากับการลากคนมาทรมาน
ขณะที่สาวใช้กำลังสางผมให้กับเอลิซาเบธ คงเพราะเกร็งไปหน่อยจึงออกแรงมากไป ดึงผมหลุดติดหวีมาหลายเส้น เอลิซาเบธระเบิดอารมณ์ทันที เธอใช้เชิงเทียนที่อยู่ใกล้มือทุบเด็กสาวอย่างไม่ยั้งมือ แล้วลงมือหวดแซ่หนังผูกปมโลหะใส่เนื้อหนังมังสาของทาสชะตาขาดนั้นอย่างเมา มัน ความรุนแรงของเธอทำเอาแซ้ตวัดเกี่ยวหนังของผู้เคราะห์ร้ายหลุดกระเต็นออกมา เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หยาดเลือดสาดกระเซ็นเป็นฝอยมาติดตามตัวของเธอ การโบยหฤโหดจบลงพร้อมๆ กับชีวิตของทาสที่เละเป็นหมูบะช่อแต่ทว่าเรื่องที่ร้ายที่สุดกำลังจะเกิด ขึ้นเคาน์เตส หอบเหนื่อยเกือบหมดแรงแต่ก็สนุกสมใจไม่น้อยเลย
ความอัจฉริยะบังเกิดขึ้นอีกแล้ว เอลิซาเบธตาวาวโรจน์เปี่ยมสุขขึ้นมาทันใด คราวนี้เธอค้นพบสูตรใหม่แห่งยาอายุวัฒนะ เธอนั่งลงเห็นและเห็นหยาดเลือดทาสที่กระเด็นมา จึงให้สาวใช้ต้นห้องเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้า และแล้วความโหดเหี้ยมแปรเปลี่ยนเป็นความพิศวง เมื่อเคาน์เตสพบว่าใต้รอยเลือดนั้นผิวของเธอกลับนุ่มนวลผุดผ่องเป็นยองใยราวสาวแรกรุ่นอ่อนนุ่ม ละมุนละไม ผิดกับผิวเนื้อตรงอื่นอย่างเหลือเชื่อ เธอคิดได้ว่าเลือดสด ๆ มีคุณสมบัติพิเศษที่จะบันดาลให้เธอเป็นสาวอมตะได้ตลอดกาล เลือดนั้นจะต้องเป็นของสาวแรกรุ่นซินะ มันถึงจะได้ฤทธิ์ของน้ำแห้งชีวิตอย่างเต็มที่
และด้วยเหตุนี้เองโศกนาฏกรรมการฆ่าสังหารเด็กสาวกว่า 600 คนเพื่อประทังความงามของเอลิซาเบธ บาโธรี่จึงเริ่มต้นขึ้น เหยื่อของเอริซาเบทส่วนใหญ่จะเป็นคนเลือกเหยื่อด้วยตนเองเธอต้องการเลือดของ เด็กสาวบริสุทธิ์ โดยเฉพาะสาวแรกรุ่นที่แสนสวยมีอกอวบอิ่ม เธอสั่งให้เชือดและชำแหละเพื่อรีดเลือดทุกหยดออกมาให้ได้มากที่สุด เด็กหญิงคนแล้วคนเล่าต้องตายอย่างทุกทรมาน บางคนถูกกรีดร่างจนเป็นริ้วลึกถึงกระดูก ตัดเส้นเลือดทุกเส้นในร่างที่งดงาม หลายคนถูกแหวะอก ผ่าท้องกรีดหัวใจเลือดพุ่งไหลเป็นสายน้ำ แล้วให้เธออาบร่างนั้นอย่างมีความสุข
เมื่อลูกทาสของคนรับใช้และทาสในที่ดินตายหมดแล้ว เอริซาเบทก็ให้ลูกน้องบริวารไปล่อลวงหลอกเอาสาวชาวบ้านตามชนบทเข้ามา เอลิซาเบทเริ่มทำการรวบรวมเด็กสาวจากที่ต่างๆในดินแดนของตน ชาวบ้านที่ยากจนต่างก็ยินดีที่จะส่งลูกสาวออกมาทำงานในปราสาทเพียงเพื่อแลก กับเสื้อผ้าไม่กี่ชุด เหล่าเด็กสาวพากันลอดประตูปราสาทเข้ามาด้วยใบหน้าร่าเริงราวกับจะไปปิกนิค แต่ไม่มีใครที่รอดกลับมาได้ พวกเธอถูกคั้นเลือดออกมาจนหยดสุดท้ายแล้วถูกฝังไว้ในสวนหลังปราสาทโดยที่พ่อ แม่พี่น้องก็ไม่มีโอกาสจะทราบข่าวถึง
วิธีการทรมานของเอลิซาเบธ ยิ่งยกระดับเสียยิ่งกว่าเก่า มีทั้งการใช้เหล็กร้อนเผาลำคอ ใช้เครื่องทรมานบีบหน้าอก บางครั้งเธอก็ใช้มือทั้งสองของตัวเองล้วงเข้าไปในปากและฉีกร่างของเหยื่อออก เป็นสองซีก เด็กสาวบางคนที่พยายามจะหนีก็ถูกตัดเท้าทิ้ง
มีบันทึกกล่าวถึงงานฉลองที่เอลิซาเบธ จัดขึ้น เธอได้รวบรวมเด็กสาวหน้าตาดีจำนวน 60 คนมาจัดงานเลี้ยง คนแคระพากันเต้นรำ แม่มดก็พ่นไฟ เมื่องานเลี้ยงดำเนินมาถึงจุดสูงสุดนั่นเอง ประตูถูกปิดตาย และทหารก็กรูกันเข้ามา เด็กสาวที่พากันหนีลนลานบ้างก็ถูกข่มขืนแล้วแทงด้วยมีดที่กลางอก บ้างก็ถูกตัดหัว บ้างก็ถูกตัดแขนตัดขาและเสียเลือดมากจนสิ้นลม ศพและชิ้นส่วนต่างๆถูกรวบรวมมากรองเลือดใส่อ่าง และเอลิซาเบธก็เปลื้องผ้าลงแช่ในอ่างเลือด แต่การรอให้เลือดเต็มอ่างก็ยังไม่ทันใจเธออยู่ดี เอลิซาเบธจึงทดลองวิธีที่เร็วกว่าด้วยการปาดคอเด็กสาวให้เลือดกระฉูดออกมาใส่ตนเองเหมือนฝักบัวเลือด แต่เนื่องจากเหยื่อกรีดร้องน่ารำคาญ เด็กสาวคนที่สองจึงถูกเย็บปากเพื่อรักษาสุขภาพหูของเอลิซาเบธ
อีกสิ่งหนึ่งที่เอลิซาเบธทิ้งไว้ในประวัติศาสตร์โลกก็คือ เครื่องมือทรมานที่มีชื่อเสียงที่สุดชิ้นหนึ่ง Iron Maiden นั่นเอง ช่างทำนาฬิกาถูกเรียกตัวมาจากเยอรมันเพื่อการนี้โดยเฉพาะ มีการบรรยายเกี่ยวกับสุภาพสตรีเหล็กตัวแรกสุดไว้ดังนี้ "ตุ๊กตาเหล็กนี้มีรูปร่างเป็นร่างเปลือยทาสีเนื้อ ส่วนใบหน้ามีการแต้มเครื่องสำอาง เมื่อกลไกขยับปาก ก็จะปรากฏรอยยิ้มอันเลื่อนลอยและเหี้ยมโหดขึ้นบนใบหน้า ที่อกมีพลอยประดับอยู่เป็นปุ่ม เมื่อกดปุ่ม ตุ๊กตาก็จะค่อยๆยกแขนขึ้น จากนั้นแขนก็จะเคลื่อนมาเป็นกอดอกซึ่งคนที่อยู่ในระยะรัศมีก็จะถูกแขนของ ตุ๊กตากอดไว้ พร้อมกันนั้น ส่วนตัวด้านหน้าก็จะเปิดออกเป็นบานประตู ภายในเป็นช่องกลวงและด้านหลังบานประตูมีเข็มแหลมยาวงอกอยู่ 5 เล่ม ผู้ที่ถูกตุ๊กตากอดไว้จะถูกขังอยู่ภายในตัวตุ๊กตาและถูกเข็มเหล่านี้แทง คั้นเลือดออกมาจนเสียชีวิต"
อย่างไรก็ตาม เครื่องทรมานดังกล่าวนี้ไม่ได้ถูกใช้งานจริงมากเท่าที่เข้าใจกัน เนื่องจากเข็มพากันทื่อเสียหมดเพราะเป็นสนิมจากเลือด เอลิซาเบธ จึงออกคำสั่งใหม่ให้สร้างกรงเหล็กขนาดใหญ่ซึ่งมีเข็มแหลมอยู่ภายใน กรงดังกล่าวจะถูกเฟืองโซ่ยกขึ้นสูงจากพื้นโดยมีเด็กสาวอยู่ข้างใน และเมื่อเขย่ากรง เลือดก็จะกระจายลงมาสู่เอลิซาเบธ ที่อยู่เบื้องล่างราวกับเป็นฝนเลือด
จนเวลาผ่านไปเกือบห้าปี ลูกสาวชาวไร่ชาวนาหายสาบสูญไปจนหมดสิ้น ความผิดพลาดเอลิซาเบธเกิดขึ้นเมื่อเธอไปเที่ยวที่เมืองวีน เหตุการณ์สยองจึงเริ่มเกิดต่อสาธารณชนรับรู้ครั้งแรก เมื่อมีผู้ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องดังออกจากห้องพักของเอลิซาเบธ เอลิซาเบทหันไปหาพวกธิดาของพวกผู้ดีมีตระกูล บางรายเป็นลูกของเพื่อนๆผู้สูงศักดิ์ของเธอด้วยซ้ำ ถึงตอนนี้บ่าวไพร่หมดปัญญาจะเอาศพไปทิ้งไม่ให้ใครเห็นเพราะมีเหยื่อมากมาย ก่ายกองจนต้องโยนออกมาในตอนกลางคืนเพื่อให้ฝูงหมาป่ารุมกินเป็นความเอร็ด อร่อยยามดึก แต่สุดท้ายแล้ว เมื่อฝูงหมาป่าก็กินไม่หมด คราวนี้ละพวกญาติๆที่มาตามหาสาวน้อยของพวกเขาก็ได้เห็นภาพอันสยองขวัญ ตอนแรกมีชาวบ้านมาพบกองซากศพที่ซีดเผือกไม่มีเลือดอยู่เหลือเลยแม้แต่หยด เดียว เลยเกิดล่ำลือไปว่าในป่านี้มีผีดิบดูดเลือดอยู่
คนเลี้ยงสัตว์ของเอลิซาเบธจึงรีบไปตรวจดูและพบว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของนัก ร้องสาวของสมาคมแห่งหนึ่งในเมืองนั้น ภาพที่เห็น หญิงสาวถูกตัดมือ ตัดเท้า และเสียชีวิต ตายตรงหน้าเอลิซาเบธ เธอบอกกับคนเลี้ยงสัตว์ของเธอว่า นักร้องผู้นี้ทำความผิด จึงมีโทษต้องตาย และนี่คือความผิดพลาดของเอลิซาเบธเพราะคนเลี้ยงสัตว์คนนี้ก็ปากเปราะเสีย ด้วยสิ ว่าแล้วกิตติศัพท์นี้ย่อมต้องกลายเป็นที่เลื่องลือในไม่ช้า ประชาชนก็เริ่มร้องเรียนเรื่องไปยังราชสำนักถึงเรื่องคนหาย และมีญาติของเด็กหลายรายยืนยันว่าเด็กสาวที่ตายกันเป็นกองๆใกล้ปราสาทของเอ ลิซาเบธ อยู่นั้นล้วนแล้วแต่ถูกล่อลวงให้มาที่ปราสาทเธอ
และแล้วพระเจ้าแมทเทียสที่ 2 ก็ทรงเข้ามาจัดการกับคดีนี้ด้วยพระองค์เอง เดือนธันวาคมปี 1610 เมื่อมาร์ควิสเธอร์โซซึ่งเป็นญาติของเอลิซาเบธ ไปยังห้องใต้ดินของปราสาทเซติช เขาก็ต้องผงะกับสิ่งที่ตัวเองพบ เครื่องทรมานจำนวนนับไม่ถ้วน รอยเลือดที่ชโลมอยู่แทบทุกที่และศพที่กองเป็นภูเขา บางศพถูกตัดทรวงอก บางศพถูกเฉือนเนื้อ บางศพก็ศีรษะถูกทุบจนแหลก และบางศพก็เต็มไปรู กลิ่นเลือดตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง มีเด็กสาวบางคนถูกช่วยออกมาได้ แต่ก็เกือบไม่รอดเหมือนกันเพราะพวกเขาพบเธอในขณะที่นอนหายใจรวยรินยังไม่ เสียชีวิต เธอเล่าว่าเธอถูกจับมาพร้อมเพื่อนสาวอีกเป็นจำนวนมากโดยมีสาวใช้สองคนของเอลิซาเบธคือ นางดอลค์และนางรีโอน่า เป็นคนสังหารนำเลือดมาให้ผู้เป็นนายชโลมผิว เพราะเชื่อว่าเลือดคือยาอายุวัฒนะ แต่ก็ยากที่บอกว่าพวกเธอปลอดภัยดี เพราะหลายคนถูกบังคับให้กินเนื้อจากศพของเด็กสาวคนอื่น จนบางคนกลายเป็นคนวิกลจริตด้วยซ้ำ
เอลิซาเบธ บาโธรี่ ถูกสอบสวนในปี ค.ศ. 1610 อย่าว่าแต่พวกชาวไร่ชาวนาเลย บรรดาผู้ดีมีตระกูลทั้งหลายต่างอาฆาตแค้น และญาติสนิทของเธอเองก็โกรธเคืองอย่างหนักว่าเธอซาดิสต์ขนาดนี้ วงส์ตระกลูบาโธรี่เสื่อมเสียกันหมด ไม่มีอำนาจใดๆที่จะช่วยให้นางฟ้าหรือผีห่าซาตานตนนี้พ้นผิดไปได้แล้ว ลูกมือของเคาน์เตสเปิดปากสารภาพเล่าวิธีการ และบอกถึงรายนามเหยื่อเท่าที่พวกเขาจำได้เฉพาะที่จำได้ก็ปาเข้าไปตั้ง 160 ศพ เดือนมกราคมปี 1611 การตัดสินคดีของเอลิซาเบธถูกจัดขึ้นที่พิซเซ่ เอลิซาเบธได้รับอนุญาตให้ไม่ต้องมาขึ้นศาลด้วยตัวเอง และเนื่องจากฎีกาของตระกูลบาโธรี่ เธอก็รอดพ้นจากโทษประหารในขณะที่ผู้มีส่วนร่วมในการสังหารทุกคนต่างก็ถูกตัดสินโทษเผาทั้งเป็น โดยผู้มีส่วนร่วมเป็นสาวใช้สองคนที่ทำหน้าที่ค้นหาและจับผู้หญิงสาวเคราะห์ร้ายมาสังเวยแก่เธอถึง 605 คน
หลังการไต่สวนสมุนเอกของเคาน์เตสถูกลงโทษโดยการเผาทั้งเป็นในที่สาธารณะเธอ ถูกลากกลับไปที่ปราสาทเซติซ ของเธอเอง ที่นั้นเธอถูกรุนเข้าไปอยู่ในห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งแล้ว เจ้าหน้าที่ของบ้านเมืองก็ก่ออิฐปิดหน้าต่างและประตูทั้งหมด เหลือไว้เพียงชองเล็กนิดเดียวที่พอจะสอดอาหารและน้ำส่งให้เธอได้ ลองโดนขังไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันขนาดนี้ เป็นคนอื่นล่ะตายไปนานแล้วแต่บาปหนาของเธอทำให้เธอยังมีชีวิตอยู่รู้รสความทรมานที่แสนสาหัสนานถึง 4 ปี
การตัดสินโทษของเอลิซาเบธ ถูกโอนให้เป็นอำนาจของตระกูลบาโธรี่ และโดยผลการประชุมของตระกูล เอลิซาเบธ ก็ถูกตัดสินให้ถูกจองจำอยู่ในปราสาทเซติชไปจนตลอดชีวิตในห้องขังอันมืดมิด ซึ่งประตูถูกโบกปูนปิดตายตลอดชิวิต ไม่ให้หลุดมาทำอันตรายใครได้อีก
21 สิงหาคม 1614 ก็เป็นวันที่ปราศจากสัญญาณชีวิตจาก เอลิซาเบธ บาโธรี่ ช่องเล็กๆ เพียงช่องเดียวก็ได้ถูกอิฐก่อปิดสนิทลง แต่มีบางตำนานกล่าวว่าเธอหนีออกไปได้และกลายเป็นผีร้ายอยู่ในป่าของฮังการี่ ทุกวันนี้ ปราสาทเซติซ บนภูเขาคาร์ลปาเชีย ในสโลวาเกีย ที่ซึ่งในอดีตเป็นสถานที่สังหารเหยื่อของเอลิซาเบธ ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่น แม้จะเหลือแต่ซากปรักหักพังแล้ว แต่มันก็ยังน่าสะพรึงกลัวอยู่เช่นเดิม

วันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2557

ตะลึง! คุกบาสตอยที่นอร์เวย์สบายสุดในโลก

คนฮือฮา!คุก"บาสตอย" ประเทศนอร์เวย์สบายสุดในโลก ให้นักโทษมีสิทธิทำกิจกรรมมากมายทั้งนอนอาบแดด เล่นกีฬา 
สำนักข่าวต่างประเทศได้รายงานว่า คุกที่สบายที่สุดดังกล่าวมีชื่อว่า “บาสตอย” โดยคุกดังกล่าวได้อนุญาตให้นักโทษมีสิทธิทำกิจกรรมต่างๆ ได้ภายในคุกทั้งนอนอาบแดด เดินชมชายหาด หรือเล่นกีฬาต่าง ๆ รวมทั้งเทนนิส และฟุตบอล โดยไม่ต้องผูกโซ่ตรวน หรือนอนอยู่ในห้องขัง แถมยังมีค่าอาหารให้ซื้อกินเองสัปดาห์ละ 3,000 บาท อีกด้วย โดยคุกที่ว่านี้อยู่บนเกาะบาสทอยของนอร์เวย์โดยนักโทษจะได้อยู่รวมกันในกระท่อมไม้เล็กๆ หลังละไม่เกิน 6 คน ซึ่งมีสิ่งอำนวนความสะดวกครบครัน
ส่วนงานของนักโทษ คือ การทำไร่ ซ่อมรถจักรยาน และงานในโรงไม้ โดยนักโทษยังได้รับเงินค่าตอบแทนวันละ 270 บาท และได้รับเบี้ยเลี้ยงจำนวน 3,150 บาทต่อสัปดาห์เพื่อนำไปซื้อของในซูเปอร์มาร็เก็ต
เรือนจำนี้ถือว่าแตกต่างอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับเรือนจำในยุโรปหลายประเทศ เช่น อังกฤษ หรือประเทศที่มีกฎหมายเข้มงวด แต่นายอาร์เน่ นีลเซ่น ผู้คุมเรือนจำบอกว่า เขาเชื่อว่า การปฎิบัติต่อนักโทษเหมือนเป็นคนธรรมดาจะสามารถลดปัญหานักโทษกระทำผิดซ้ำสองและต้องกลับเข้าคุกอีก
นายอาร์เน่ กล่าวว่า เชื่อมั่นว่าการปฎิบัติต่อกันในฐานะมนุษย์ จะสามารถปรับปรุงพฤติกรรมของนักโทษได้ หากเราต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงอาชญากรรมและการลงโทษในขั้นรากฐาน และว่าคุก"เกาะบาสตอย"ถือเป็นเรือนจำแห่งการทดลอง ซึ่งผมหวังว่าผลที่ออกมาจะสร้างประโยชน์ไม่เพียงแต่เฉพาะประเทศนอร์เวย์ แต่ยังรวมทั้งอังกฤษ และประเทศอื่น ๆ ของโลกด้วย
ตะลึง! คุกบาสตอยที่นอร์เวย์สบายสุดในโลก
ตะลึง! คุกบาสตอยที่นอร์เวย์สบายสุดในโลก
ตะลึง! คุกบาสตอยที่นอร์เวย์สบายสุดในโลก
ตะลึง! คุกบาสตอยที่นอร์เวย์สบายสุดในโลก

วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เรื่องเล่าจากภาพถ่าย
ภาพถ่ายประเภทวิวธรรมชาติกับดาราศาสตร์ (สิทธิพร เตือนตะคุ)
       นับตั้งแต่วงการถ่ายภาพได้เข้าสู่ยุคดิจิทัล ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่เริ่มหันมาชื่นชอบการถ่ายภาพกันมากยิ่งขึ้น ส่วนตัวผมเริ่มเข้าสู่วงการถ่ายภาพมาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ระดับมัธยมศึกษา ซึ่งในสมัยนั้นมีแต่กล้องฟิล์มเท่านั้น ยังไม่มีกล้องดิจิทัลเหมือนสมัยนี้ การ “ลั่นชัตเตอร์” เพื่อถ่ายภาพแต่ละภาพ ต้องคิดแล้วคิดอีก ปรับแล้วปรับอีก เพราะฟิล์มม้วนหนึ่งถ่ายได้แค่ 36 ภาพเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นพอถ่ายเสร็จต้องนำฟิล์มไปล้างอัดภาพถึงจะได้เห็นผลงาน แต่นั่นแหละ คือเสน่ห์ของการถ่ายภาพ
      
       เสน่ห์ของการถ่ายภาพคือ “ต้องลุ้น” ลุ้นว่าภาพจะออกมาสวยหรือไม่ หรือโฟกัสพลาด ภาพเบลอทั้งหมดก็เป็นไปได้ ซึ่งต่างกับสมัยนี้ที่เทคโนโลยีด้านการถ่ายภาพก้าวหน้ามาก ถ่ายเสร็จก็แสดงผลให้เห็นทันที ไม่ดีก็ถ่ายใหม่ แถมคุณภาพของภาพก็มีความละเอียดมาก ทั้งยังมีฟังก์ชันและโหมดการถ่ายภาพสารพัด ทำให้การถ่ายภาพง่ายมากขึ้น ส่วนตัวผมนั้นกลับได้ประโยชน์จากการถ่ายภาพในยุคฟิล์ม เพราะเป็นประสบการณ์ที่มีประโยชน์อย่างมากสำหรับการถ่ายภาพในยุคดิจิทัล ทำให้เรามีความรู้ความเข้าใจเป็นอย่างดีในการถ่ายภาพ
      
       เล่าเรื่องตัวเองมากไปแล้วครับมาเข้าเรื่องกันดีกว่า จริงๆ แล้วกล้องดิจิทัลนั้นเริ่มมาจากกลุ่มนักถ่ายภาพทางดาราศาสตร์ ที่ทำการถ่ายภาพวัตถุท้องฟ้าเพื่อทำการศึกษาวิจัย โดยอุปกรณ์ที่ใช้ในการรับภาพนั้นเรียกว่า ซีซีดี (CCD : Charge Coupled Device) โดยในการถ่ายภาพวัตถุท้องฟ้าแต่ละภาพนั้นจะต้องถ่ายภาพผ่านฟิลเตอร์ต่างๆ เช่น R G B ซึ่งถ้าจะอธิบายง่ายๆ ก็เหมือนเราถ่ายภาพแต่ละแม่สี แล้วจึงนำเอาภาพที่ถ่ายผ่านแต่ละฟิลเตอร์นั้นมารวมกัน เปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนการผสมสีจึงจะได้ออกมาเป็นภาพสีที่เราเห็นกัน และนั่นถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของกล้องถ่ายภาพดิจิทัล ซึ่งในกล้องดิจิทัลปัจจุบันนั้นได้ใส่ฟิลเตอร์เอาไว้แล้วไม่ต้องลำบากเหมือนกับกล้องดิจิทัลในอดีตทำให้เราสามารถนำมาใช้ในการถ่ายภาพได้ง่ายมากขึ้น
      
        ด้วยเทคโนโลยีด้านการถ่ายภาพที่มีความก้าวหน้าและทันสมัยทำให้ใครๆ สามารถถ่ายภาพและสร้างสรรค์ภาพที่สวยงามได้ไม่ยากนัก ปัจจุบันเราเห็นโครงการประกวดภาพถ่ายประเภทต่างๆ มากมาย และหนึ่งในนั้นคือ การประกวดภาพถ่ายทางดาราศาสตร์ ในหัวข้อ “มหัศจรรย์ภาพถ่ายทางดาราศาสตร์ในเมืองไทย” ที่ทางสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) จัดขึ้นต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 4 แล้ว ผมถือโครงการนี้ช่วยให้วงการถ่ายภาพมีสีสันขึ้น ทั้งยังเป็นมิติใหม่ของการถ่ายภาพซึ่งต่างจากการถ่ายภาพเดิมๆ ที่เราคุ้นเคยกัน และถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งเลยทีเดียว เพราะนอกจากเราจะได้เห็นความสวยงามของภาพถ่ายแล้ว แต่ละภาพที่ส่งเข้าประกวดยังสามารถอธิบายด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ ถือว่าได้ทั้งความงามและความรู้ด้วย และในปี 2554 นี้ก็มีผู้สนใจส่งภาพเข้าประกวดจำนวนมากกว่า 100 คน จำนวนมากกว่า 300 ภาพ ต่างจากปีก่อนๆ ที่มีจำนวนผู้ส่งเข้าภาพประกวดไม่ถึง 100 ภาพ
      
       การถ่ายภาพทางดาราศาสตร์ในการประกวดนั้นมีการแยกออกเป็น 5 ประเภทหลัก คือ
      
       - ประเภทภาพถ่าย Deep Sky Objects เช่น กาแล็กซี เนบิวลา และ กระจุกดาว เป็นต้น
เรื่องเล่าจากภาพถ่าย
(ซ้าย) โอไรออนเนบิวลา (M42) โดยศุภฤกษ์ คฤหานนท์ และ (ขวา) แอนโดรเมดากาแล็กซี (M31) โดย ศรัณย์ โปษยะจินดา
       - ประเภทภาพถ่ายปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ เช่น ปรากฏการณ์สุริยุปราคา จันทรุปราคา ฝนดาวตก การบังกันของวัตถุในระบบสุริยะ และการเกิดคอนจังชัน (conjunction) ของวัตถุในระบบสุริยะ เป็นต้น
เรื่องเล่าจากภาพถ่าย
(ซ้าย) ปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวง โดย ศุภฤกษื คฤหานนท์ (ขวา) ปรากฏการณ์สุริยุปราคาบางส่วน โดย ศรัณย์ โปษยะจินดา
       - ประเภทภาพถ่ายวัตถุในระบบสุริยะ เช่น ดาวเคราะห์ ดาวหาง ดาวเคราะห์น้อย และดวงจันทร์ เป็นต้น
เรื่องเล่าจากภาพถ่าย
(ซ้าย) ดวงจันทร์ โดย ศุภฤกษ์ คฤหานนท์ (ขวา) ดาวเสาร์ โดย ศรัณย์ โปษยะจินดา
       - ประเภทภาพถ่ายวิวธรรมชาติกับดาราศาสตร์ เช่น ภาพถ่ายที่ประกอบด้วยวัตถุบนพื้นโลกกับวัตถุบนท้องฟ้าที่เกี่ยวข้องกับดาราศาสตร์ เป็นต้น
เรื่องเล่าจากภาพถ่าย
(ซ้าย) เส้นแสงดาวในทิศเหนือ โดย สิทธิพร เตือนตะคุ (ขวา) เส้นแสงดาวทิศตะวันออก โดย วทัญญู แพทย์วงศ์
       - ประเภทสุดท้ายภาพถ่ายปรากฏการณ์ในชั้นบรรยากาศของโลก เช่น ปรากฏการณ์ฟ้าผ่า ดวงอาทิตย์ทรงกลด ดวงจันทร์ทรงกลด รุ้งกินน้ำ และเมฆ เป็นต้น
      
       ประเภทที่ได้ความความสนใจส่งภาพเข้าประกวดมากที่สุดคือ ภาพประเภทวิวทิวทัศน์กับดาราศาสตร์และปรากฏการณ์ในบรรยากาศโลก หรือแม้กระทั่งประเภทปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ก็ได้รับความสนใจไม่น้อย ซึ่งเหตุผลน่าจะเนื่องมาจากในปี 2554 มีปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่น่าสนใจอยู่หลายปรากฏการณ์ เช่น ปรากฏการณ์จันทรุปราคาแบบเต็มดวง ปรากฏการณ์สุริยุปราคา หรือแม้กระทั่งฝนดาวตก และปรากฏการณ์ดาวเคียงเดือน ก็มีผู้สนใจส่งภาพเข้าร่วมประกวดไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งสร้างความหนักใจแก่คณะกรรมการตัดสินคัดเลือกภาพถ่ายเป็นอย่างมาก ตัวผมเองก็เป็นหนึ่งในคณะกรรมการตัดสินภาพ ซึ่งภาพที่ส่งเข้าประกวดจะต้องถูกตรวจสอบอย่างละเอียดว่ามีการใช้เทคนิคอะไร มีการปรับแต่งมากน้อยแค่ใหน และใช้อุปกรณ์อะไรในการถ่ายภาพ รวมถึงมีการปรับแต่งเกินจริงจนเรียกว่าเป็นภาพตัดแปะเลยก็มีไม่น้อย ซึ่งต้องตรวจสอบด้วยความละเอียดและระมัดระวังมากที่สุด
เรื่องเล่าจากภาพถ่าย
(ซ้าย) เมฆสี โดย ศุภฤกษ์ คฤหานนท์ (ขวา) ดวงอาทิตย์ทรงกลด โดย พิธาน สิงห์เสน่ห์
       สาระสำคัญของภาพและเทคนิคในการถ่ายภาพแตกต่างกันไปตามประเภทของภาพ เช่น ประเภท Deep Sky ผู้ถ่ายภาพก็จำเป็นต้องมีความรู้ทางดาราศาสตร์พอสมควร รวมทั้งความรู้เรื่องการใช้กล้องโทรทรรศน์และเทคนิคในการติดตามวัตถุท้องฟ้า ประเภทปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ผู้ถ่ายก็จำเป็นต้องศึกษาถึงปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ ว่าจะเกิดขึ้นที่ไหน เวลาเท่าใด และจะใช้เทคนิคอะไรในการบันทึกภาพ ประเภทวัตถุในระบบสุริยะ ผู้ถ่ายเองก็ต้องทราบตำแหน่งของวัตถุท้องฟ้า ขนาด ความสว่าง เวลาขึ้นตกของวัตถุท้องฟ้านั้นๆ รวมทั้งเทคนิคที่จะใช้บันทึกภาพว่าควรใช้กล้องทางยาวโฟกัสเท่าไหร่ ใช้เวลาถ่ายนานแค่ไหน ประเภทวิวทิวทัศน์กับวัตถุท้องฟ้าต้องรู้ทิศรู้มุม ตำแหน่ง ทิศทาง หรือรู้จักกลุ่มดาวรวมทั้งเทคนิคการถ่ายภาพในเวลากลางคืนอีกด้วย และประเภทสุดท้ายปรากฏการณ์ในบรรยากาศโลกต้องรู้จักสังเกต รวมถึงการมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปรากฏการณ์ต่างๆ ในชั้นบรรยากาศ
เรื่องเล่าจากภาพถ่าย
ตัวอย่างการซ้อนภาพโดยการตัดแปะ ซึ่งไม่ใช่ภาพที่ถ่ายได้จริง
       นอกจากนั้นแล้วภาพถ่ายทางดาราศาสตร์มีความแตกต่างจากการถ่ายภาพทั่วไปเพราะภาพถ่ายทางดาราศาสตร์นั้น นอกจากจะต้องมีความรู้ความเข้าใจทางดาราศาสตร์ แล้ว ยังจำเป็นต้องมีความเข้าใจถึงเทคนิคและกระบวนการในการถ่ายภาพรวมทั้งการวางแผนที่ดีด้วย โดยการเตรียมตัวในการถ่ายภาพทางดาราศาสตร์นั้น เราต้องเตรียมตัวหรือร่างกายให้พร้อม พักผ่อนให้เพียงพอเพราะเราต้องถ่ายภาพในเวลากลางคืนเป็นเวลานานๆ จากนั้นก็เป็นเรื่องของอุปกรณ์ในการถ่ายภาพ และการวางแผนการถ่ายภาพล่วงหน้าว่าเราจะถ่ายอะไร อยู่ตำแหน่งไหนบนท้องฟ้า อยู่ในกลุ่มดาวอะไร เวลาขึ้น-ตก และสถานที่ที่จะออกไปถ่ายภาพว่ามีแสงไฟรบกวนมากน้อยแค่ไหน รวมทั้งการดูพยากรณ์อากาศว่ามีพายุ ฝนตก หรือไม่ และเหนือสิ่งอื่นใด“ดวง”ก็ยังเป็นสิ่งที่มาเกี่ยวข้อง เพราะหากวันใดที่เราเตรียมการทั้งอุปกรณ์ การวางแผนไว้แล้ว แต่หากช่วงเวลาที่ต้องการถ่ายกลับมาเมฆมาบดบังแสงดาวก็ทำให้เราไม่สามารถจะถ่ายภาพที่เราต้องการได้เช่นกัน
      
         *********************

เกี่ยวกับผู้เขียน 
      
       ศุภฤกษ์ คฤหานนท์ 
      
       สำเร็จการศึกษาครุศาสตรบัณฑิต สาขาฟิสิกส์ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ และครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาเทคโนโลยีและการสื่อสาร จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
      
       ปัจจุบันเป็นเจ้าหน้าที่สารสนเทศทางดาราศาสตร์ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สดร. , เคยทำวิจัยเรื่อง การทดสอบค่าทัศนวิสัยท้องฟ้าบริเวณสถานที่ก่อสร้างหอดูดาวแห่งชาติ มีประสบการณ์ในฐานะวิทยากรอบรมการดูดาวเบื้องต้น และเป็นวิทยากรสอนการถ่ายภาพดาราศาสตร์ในโครงการประกวดภาพถ่ายดาราศาสตร์ ประจำปี 2554 ของ สดร. ในหัวข้อ "มหัศจรรย์ภาพถ่ายดาราศาสตร์ในเมืองไทย"
      
       "คุณค่าของภาพถ่ายนั้นไม่เพียงแต่ให้ความงามด้านศิลปะ แต่ทุกภาพยังสามารถอธิบายด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ได้อีกด้วย" 
       

วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

กลวิธีปราบความเครียดแบบเห็นผล

    แฮปปี้

    กลวิธีปราบความเครียดแบบเห็นผล (Woman's Story)

              ความเครียด เปรียบเสมือนเชื้อโรคร้ายอย่างหนึ่งเลยนะคะ ที่พร้อมจะเล่นงานร่างกาย และจิตใจเสมอ ถ้าคน ๆ นั้นเริ่มประสบพบเจอกับปัญหาต่าง ๆ ในการดำเนินชีวิต ซึ่งสำหรับคนที่พลาดพลั้งก็จะโดนเจ้าความเครียดเล่นงานจนหงายหลังไปนอนในโรงพยาบาลหลายรายเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นหากรู้ตัวว่าคุณเริ่มมีความเครียด ก็ต้องจัดการให้หมดไป หรืออย่างน้อยให้ทุเลาลงได้บ้าง และนี่คือ 10 วิธีที่จะมาเป็นตัวช่วยให้คุณหายเครียดได้ค่ะ

     หาเวลาส่วนตัว 

              ลองนั่งสมาธิเป็นประจำทุกวัน ไปยิมเพื่อออกกำลัง เล่นโยคะ หรืออ่านหนังสือดี ๆ สักเล่มก็ได้ เวลาที่คุณมีสมาธิ ได้ทำอะไรที่ตัวเองชื่นชอบ ช่วงนั้นจะสร้างที่พักในใจให้คุณ และทำให้จิตใจของคุณเป็นสุขอย่างไม่น่าเชื่อ แล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้น

     หยุดคิดวนไปวนมา 

              จริงอยู่ คุณมีเรื่องสำคัญในใจ และต้องทำให้เสร็จ แต่เมื่อถึงเวลาคุณก็ควรจะพักเสียบ้าง ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาทำให้เสร็จให้ได้ อย่าลืมว่าช้า ๆ ได้พร้าเล่มงามนะคะ


    ผลไม้เพื่อสุขภาพ

     กินของดี ๆ 

              จะช่วยให้ร่างกายของคุณแข็งแรง พร้อมรับความเครียดได้ เลือกกินพวกผักผลไม้เป็นหลัก จะทำให้คลายเครียดได้ค่ะ

     ระบายด้วยการเขียน 

              ถ้าไม่รู้จะหาทางออกให้ชีวิตได้ยังไง วิธีที่ง่ายที่สุด และทำได้เลยก็คือ เขียนทุกอย่างที่คุณคิดลงบนกระดาษ เอาสิ่งที่คุณเครียดออกมาให้หมดดีกว่าเก็บเอาไว้จนมันระเบิดออกมานะคะ

     คิดเรื่องอื่น ๆ 

              หากคุณยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด แต่ถ้าหากทางแก้ไขได้ก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ว่าคุณก็อย่าลืมว่าในชีวิตยังมีเรื่องดี ๆ อย่างอื่นให้คิดได้อีก ลองปล่อยเรื่องนี้ และคิดเรื่องอื่น จะทำให้คุณค่อย ๆ ดีขึ้นได้

    สปา

     ให้ความสำคัญกับตัวเอง 

              ตัวเองคือสิ่งที่สำคัญที่สุด เมื่อไหร่ที่เครียด คุณควรจะสนใจตัวเองให้มากหน่อย อย่าปล่อยให้ตัวเองรู้สึกไม่ดี หาความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ใส่ตัวบ้าง เช่น ไปทำสปา หรือซื้อของดี ๆ ให้ตัวเอง เท่านี้ก็หายเครียดแล้ว

     ทำอะไรให้เป็นระบบ 

              คุณควรทำทุกอย่างอย่างเป็นระบบ คิดให้ถี่ถ้วนว่าอะไรให้ผลลัพธ์อย่างไร และควรทำหรือไม่ควรทำ ถ้าหากคิดได้ถึงเหตุและผล คุณก็จะสบายใจและไม่เครียดมากเท่าที่ควรจะเป็นค่ะ

     ยอมรับมันซะ 

              เมื่อใดก็ตามที่มีอะไรรบกวน คุณควรจะยอมรับมันเสียก่อนเป็นลำดับแรก จากนั้นย้อนกลับมาคิดว่าเพราะอะไรจึงเกิดเรื่องนั้น ๆ ขึ้น หาสาเหตุของมัน แล้วคุณจะสบายใจเอง


    ความรัก

     ความรัก 

              ความรักช่วยเรื่องความเครียดได้มากไม่น้อย เมื่อไหร่ที่เครียดมองหาใครก็ตามที่คุณรัก และรักคุณเท่านั้นความเครียดก็ลดไปจมเลยล่ะค่ะ

     หาเวลาอยู่กับครอบครัว 

              การได้พูดคุยกับครอบครัวจะทำให้คุณสบายใจมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องพูดถึงปัญหาก็ได้ แต่ขอให้ได้พูดเรื่องสนุก ๆ ไกล ๆ ตัว แค่นี้คุณก็จะมีความสุขแล้ว

วันศุกร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2557

วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วันคริสต์มาส

 ประวัติเกี่ยวกับวันคริสต์มาส
โฮ่ะ โฮ่ะ โฮ่ะ เสียงหัวเราะที่อบอุ่นและใจดีของซานตาคลอสดังขึ้น ท่ามกลางความเงียบสงัด ในยามค่ำคืนคริสต์มาสอีฟ ขณะที่ปุยหิมะสีขาวโปรยปราย ลงมาจากท้องฟ้าห่มคลุมสรรพสิ่งจนขาวโพลนไปทั่ว ในคืนวันที่ 24 ธ.ค. เด็กๆ ทั่วโลกต่างพากันขึ้นเตียงนอนและเฝ้าคอยซานต้า คุณลุงแก้มยุ้ย ตัวอ้วน เคราขาว ในชุดสีแดงที่หอบถุงของขวัญใบยักษ์ นั่งรถเลื่อนที่มีกวางเรนเดียร์ลากข้ามขอบฟ้า นำของขวัญมาวางไว้ใต้ต้นคริสต์มาส หรือในถุงเท้าหน้าเตาผิงในห้องนั่งเล่น แม้เรื่องราวของซานต้าจะมีอยู่เพียงในจินตนาการ แต่ประวัติความเป็นมาและตำนานวันคริสต์มาส ที่เปี่ยมด้วยเวทมนต์อันน่าหลงใหลก็มีความจริงผสมผสานอยู่ด้วย
วันคริสต์มาส
คือ การฉลองวันประสูติของพระเยซู ผู้เป็นศาสดาสูงสุดของชาวคริสต์ทั่วโลก เป็นวันฉลองที่มีความสำคัญ และมีความหมายมากที่สุดวันหนึ่ง เพราะชาวคริสต์ถือว่า พระเยซู มิใช่เป็นแต่เพียงมนุษย์ธรรมดาๆ ที่มาเกิดเหมือนเด็กทั่วไป แต่พระองค์ เป็นบุตรของพระเจ้าผู้สูงสุด และมีพระธรรมชาติเป็นพระเจ้า และเป็นมนุษย์ในพระองค์เอง การบังเกิดของพระองค์ จึงเป็นเหตุการณ์พิเศษ ที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนด้วย.. ทำไมจึงวันฉลองคริสต์มาสวันที่ 25 ธันวาคม

ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ (ลก.2:1-3) บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าบังเกิดในสมัยที่ จักรพรรดิซีซ่าร์ ออกัสตัส ให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยมีคีรินิอัส เป็นเจ้าครองเมืองซีเรีย ซึ่งในพระคัมภีร์ ไม่ได้บอกว่า เป็นวันหรือเดือนอะไร แต่นักประวัติศาสตร์ให้เหตุผลว่า ทื่คริสตชนเลือกเอาวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันฉลองคริสต์มาส ตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 เป็นต้นมา เนื่องจาก ในปี ค.ศ. 274 จักรพรรดิเอาเรเลียน ได้กำหนดให้วันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพผู้ทรงพลัง ชาวโรมันฉลองวันนี้อย่างสง่า และถือเสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะพระจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ คริสตชนที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รู้สึกอึดอัดใจ ที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ ตามประเพณีของชาวโรมัน จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 330 จึงเริ่มมีการฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการ และอย่างเปิดเผย เนื่องจากก่อนนั้น มีการเบียดเบียนศาสนาอย่างรุนแรง (ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 64-313) ทำให้คริสตชน ไม่มีโอกาสฉลองอะไรอย่างเปิดเผย
ความสำคัญของ วันคริสต์มาส 
เราจะเห็นได้ว่า วันคริสต์มาสเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง เนื่องจากเป็นการระลึกถึงวันที่พระบุตรของพระเจ้ามาบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์เป็นพระเจ้า ที่จะอยู่กับเราตลอดไป ส่วนหนึ่งของมนุษย์เป็นพี่หัวปีที่จะนำมนุษย์ทั้งมวลไปสู่พระบิดาเจ้า พระองค์เป็นความสำเร็จบริบูรณ์ตามคำสัญญาของพระเจ้า ที่จะดูแลป้องกันรักษาเราผู้เป็นประชากรของพระองค์ เราเป็นเหมือนลูกแกะที่หายไป แต่พระเยซูเป็นชุมพาบาลใจดีที่ตามหาเราจนพบและจะไม่มีอะไร ที่จะแยกเรากับพระองค์ได้อีกเลย มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเป็นชนชาติไหนจะรวยหรือจน คนศรัทธาหรือคนบาป ล้วนมีความสำคัญต่อหน้าพระเจ้าเสมอ เพราะตั้งแต่การเสด็จมาบังเกิดของพระเยซูนั้น พระเป็นเจ้าพระบิดาทรงเห็นพระฉายาลักษณ์ของพระบุตรในมนุษย์ทุกคน เราก็เช่นเดียวกัน เราต้องรักซึ่งกันและกันเหมือนอย่างที่เรารักพระเจ้า นั่นหมายถึงเราต้องเคารพศักดิ์ศรีของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นคนยากจน คนต่างชาติ หรือคนที่วางตัวเป็นศัตรูกับเรา

"เขาจะรักพระเจ้าที่เขามองไม่เห็นได้อย่างไร ถ้าเขาไม่รักพี่น้องที่มองเห็นได้ นี่แหละเป็นพระดำรัสที่พระเยซูเจ้าประทานแก่เรา คนที่รักพระเจ้าต้องรักพี่น้องของตนด้วย"
ประเพณีของการฉลองคริสต์มาสที่มีความเป็นมาดังกล่าวนี้ ควรเป็นสิ่งที่ชักจูงเราให้เปรี่ยมไปด้วยความรักที่พร้อมที่จะรับใช้ ผู้อื่นอย่างเต็มที่.
ต้นคริสต์มาส
ในสมัยโบราณ "ต้นคริสต์มาส" หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์แสดงละครที่หน้าวัด ถึงความหมายของคริสต์มาส และเอาต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ตรงกลาง เพื่อประดับฉาก แสดงถึงบาปกำเนิดของอาดัมและเอวา ต้นไม้ที่ใช้เป็นต้นสน เนื่องจากเป็นต้นไม้ ที่หาง่ายที่สุดในประเทศเหล่านั้น การแสดงละครคริสต์มาสแบบนี้ มีมาเป็นเวลาช้านานหลายร้อยปี จนถึงศตวรรษที่ 15 พระสังฆราชหลายแห่งได้ห้ามแสดง เนื่องจากการแสดงนั้น กลายเป็นการเล่นเหมือนลิเก ล้อชาวบ้าน ผู้ปกครองบ้านเมือง และศาสนา ซึ่งไม่ตรงกับบรรยากาศของการฉลอง ชาวบ้านรู้สึกเสียดาย ที่ไม่มีโอกาสดูละครสนุกๆ แบบนั้นอีก จึงไปสนุกกันที่บ้านของตน โดยเอาต้นไม้มาไว้ที่บ้าน หลังจากนั้น ก็เริ่มมีการแขวนลูกแอปเปิ้ล ขนมและของขวัญอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้

นอกจากนั้น ชาวเยอรมันยังมีประเพณีอีกอย่างหนึ่งคือ มีการจุดเทียนหลายเล่มเป็นรูปปิรามิด ไว้ตลอดคืนคริสต์มาส โดยมีดาวของดาวิดที่ยอดปิรามิด ซึ่งประเพณีที่จะแขวนของขวัญและขนม ก็ได้รวมกับประเพณีของชาวเยอรมันนี้ มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 โดยเอาเทียนมาไว้ที่ต้นไม้ เป็นรูปทรงปิรามิด นี่เป็นที่มาของประเพณีปัจจุบัน ที่มีการแขวนของขวัญ และไฟกระพริบไว้ที่ต้นคริสต์มาส และมีดาวของดาวิดไว้ที่สุดยอด ประเพณีนี้ เป็นที่นิยมชมชอบของชาวตะวันตกอยู่มาก
แม้ว่าประเพณีการตั้งต้นคริสต์มาส มีความเป็นมาดังกล่าว ชาวคริสต์ในสมัยนี้ ก็ยังนิยมทำกันอยู่ เพราะเห็นว่า มีความหมายถึงพระเยซูเจ้า ผู้เปรียบเสมือนต้นไม้แห่งชีวิต (ปฐก.2:9) ที่เขียวสดเสมอในทุกฤดูกาล ซึ่งหมายถึง นิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า และนอกจากนั้นยังหมายถึง ความสว่างของพระองค์ เสมือนแสงเทียนที่ส่องในความมืด ทั้งยังหมายถึง ความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูเจ้าประทานให้ เพราะต้นไม้นั้น เป็นจุดรวมของครอบครัวในเทศกาลนั้น
ซานตาคลอส 
เป็นจุดเด่นหรือสัญลักษณ์ ที่เด็กและผู้คนนิยมมากที่สุด ในเทศกาลคริสต์มาส แต่แท้ที่จริงแล้ว ซานตาคลอส แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้เลย ชื่อซานตาคลอส มาจากชื่อนักบุญนิโคลาส ซึ่งเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือ เป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของเด็กๆ นักบุญองค์นี้ เป็นสังฆราชของไมรา (อยู่ในประเทศตุรกี ปัจจุบัน) มีชีวิตอยู่ราวศตวรรษที่ 4 เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่ง อพยพไปอยู่ในสหรัฐ ก็ยังรักษาประเพณีนี้ไว้ คือ ฉลองนักบุญนิโคลาส ในวันที่ 6 ธันวาคม ซึ่งหมายถึง นักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้ เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ ที่อพยพมา ก็รู้สึกอยากมีส่วนร่วมในประเพณีแบบนี้บ้าง เพื่อรับของขวัญ ประเพณีนี้ จึงเริ่มเป็นที่รู้จัก และแพร่หลายไปในอเมริกาโดยมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างคือ ชื่อนักบุญนิโคลาส ก็เปลี่ยนเป็นซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราช ซึ่งเป็นนักบุญองค์นั้น ก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วน ใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นพาหนะ มีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟของบ้าน เพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้น อันที่จริง ซานตาคลอสเป็นรูปแบบที่น่ารัก เหมาะสำหรับเป็นนิยายให้เด็กๆ เชื่อ แต่อาจจะทำให้คนทั่วไปหันมาสนใจ ให้ความสำคัญในตัวนิยายนี้ แทนการบังเกิดของพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของเทศกาลคริสต์มาสนี้

วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ชาขาว

ชาขาว ( 白茶) เป็นชา (tea) ชนิดหนึ่ง มีชื่อเดิมตามภาษาท้องถิ่นจีนว่า " หยินเซน " ซึ่งแปลว่า " เข็มเงิน "ผลิตจากตูมและยอดอ่อนของต้นชา ซึ่งเลือกเด็ดด้วยมือ แหล่งเพาะปลูกชาขาวที่มีชื่อเสียงอยู่ที่มณฑลฝูเจี้ยน ทางตอนใต้ของประเทศจีน ชาขาวเป็นหนึ่งในชาที่ดีที่สุด เนื่องจากเป็นชาที่มีสมบัติดี หายาก และมีราคาแพง จึงถือเป็นชาชั้นสูง ชาวจีนดื่มชาขาวมายาวนานกว่า 1,500 ปี ในสมัยราชวงศ์ซ่งของจีน มีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระและคุณค่าทางโภชนาการ มีกลิ่นและรสชาติของชาขาวที่ยังคงความสดชื่นและนุ่มนวล ชาขาวจึงเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ (functional food) มีสารที่มีสรรพคุณเป็นโภชนเภสัช (nutraceutical) ได้แก่ สารพอลิฟีนอล (polyphenol) โดยเฉพาะแคทีชิน (catechin) ในปริมาณสูง


การแปรรูป
กรรมวิธีผลิตชาขาวจะคล้ายกับชาเขียว คือไม่ได้ผ่านกระบวนการหมักเลย แต่แตกต่างกันตรงที่การเก็บใบชาเพื่อนำมาทำเป็นชาขาวจะเลือกเก็บเฉพาะ ยอดอ่อนชา ซึ่งปกคลุมไปด้วยขนเล็กๆ ที่มีความสมบูรณ์เต็มที่ โดยจะต้องเก็บยอดอ่อนด้วยมือภายในระยะเวลา ไม่เกิน 48 ชั่วโมง ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ จากนั้นนำยอดชาที่เก็บได้มาผ่านกระบวนการทำแห้ง (dehydration) ซึ่งมักใช้การตากแดด (sun drying) ด้วยวิธีธรรมชาติโดยอาศัย ลม แสงแดด หรือการอบด้วยเครื่องอบ (drier)
การชงชาขาว
การชงชาขาวจะใช้เวลามากกว่าการชงชาทั่วไป เพราะต้องทิ้งไว้ประมาณ 5-7 นาที จึงสามารถรินดื่มได้
สรรพคุณของชาขาว
ชาขาวเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ (functional food) มีสารที่มีสรรพคุณเป็นโภชนเภสัช (nutraceutical) ได้แก่ สารพอลิฟีนอล (polyphenol) โดยเฉพาะ แคทีชิน(catechin) ในปริมาณสูงกว่าชาชนิดอื่น โดยสารในกลุ่มนี้มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ( antioxidant ) ที่ช่วยป้องกันโรคและความบกพร่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอนุมูลอิสระ ( free radical ) เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคอัลไซเมอร์ก ารดื่มชาขาวช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ช่วยสร้างความรู้สึกผ่อนคลาย ลดอาการตึงเครียดจากการทำงานหนัก อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินต่างๆ ในปริมาณสูง