ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2002 ประชากร 300 ล้านคนของ 12 ประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรป (โซนยูโร) ได้เริ่มใช้เงินยูโรแทนเงินตราของประเทศตนเอง และกว่าจะมาถึงขั้นตอนนี้ประเทศทั้ง 12 ได้ผ่านกระบวนการไตร่ตรองอันยาวนานในการจัดเตรียมระบบเศรษฐกิจของประเทศและในการเปลี่ยนมาใช้เงินสกุลยูโร
1969 - ระหว่างการประชุมสุดยอดที่กรุงเฮก สมาชิก 6 ประเทศของกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจยุโรป (Communauté économique européenne) ได้กำหนดให้มีการจัดตั้งสหภาพเศรษฐกิจและการเงินยุโรป (แผน Barre)
1971 - แผน Werner เสนอให้จัดระบบเศรษฐกิจของแต่ละประเทศสมาชิกของประชาคมเศรษฐกิจยุโรปให้เป็นไปในทางเดียวกันเพื่อเตรียมการรองรับระบบเงินสกุลเดียว ความไม่มีเสถียรภาพของเงินตราของประเทศต่างๆในยุโรปมีผลอย่างมากต่อโครงการนี้
1972 - ได้มีการออกมาตรการ Serpent monétaire européen (การกำหนดให้ค่าเงินขึ้นลงได้ในขอบเขตที่กำหนดไว้) ซึ่งถือเป็นหนทางหนึ่งในการควบคุมความผันผวนของเงินตราของประเทศต่างๆในยุโรป ในปี 1979 มีการจัดตั้งระบบเงินร่วมยุโรป (Système monétaire européen)
1986 - Acte unique ของสนธิสัญญากรุงโรมได้กำหนดขั้นตอนในการจัดตั้งสหภาพเศรษฐกิจและการเงินยุโรป (Union économique et monétaire)
1990 - การอนุญาตให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนโดยเสรีซึ่งนับเป็นกระบวนการแรกของสหภาพเศรษฐกิจและการเงินยุโรป
1992 - สนธิสัญญามาสทริชต์ได้กำหนดเกณฑ์ในการเตรียมความพร้อมของแต่ละประเทศที่จะเข้าร่วมสหภาพเศรษฐกิจและการเงินยุโรปเพื่อไปใช้เงินสกุลเดียว
2 พฤษภาคม 1998 - คณะกรรมาธิการยุโรปได้ประกาศรายชื่อประเทศที่จะร่วมใช้เงินสกุลเดียวอันได้แก่เยอรมัน ออสเตรีย เบลเยี่ยม สเปน ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส ไอร์แลนด์ อิตาลี ลักเซมเบอร์ก เนเธอร์แลนด์และโปรตุเกส (กรีซจะเข้าร่วมในปี 2001)
1 มิถุนายน 1998 - ได้มีการจัดตั้งธนาคารกลางยุโรป (Banque centrale européenne) ซึ่งจะเป็นผู้ดูแลนโยบายการเงินของยุโรป
1 มกราคม 1999 - เงินยูโรกลายเป็นเงินสกุลเดียว อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินยูโรและเงินสกุลของบรรดาประเทศที่ร่วมใช้เงินสกุลเดียวจะตายตัว (ในส่วนของฝรั่งเศส 1 ยูโร = 6.55957 ฟรังก์)
ได้มีการนำเงินยูโรมาใช้ในการดำเนินการธุรกรรมต่างๆในตลาดเงินทุน
1 มกราคม 2002 - เงินยูโรมีผลบังคับใช้ใน 12 ประเทศที่เข้าร่วม
17 กุมภาพันธ์ 2002 - เงินยูโรใช้แทนเงินฟรังก์อย่างเต็มตัว
การเปลี่ยนสกุลเงินตราในครั้งนี้ต้องอาศัยความพยายามในการปรับตัวของทุกๆฝ่ายไม่ว่าจะเป็น ผู้บริโภค บริษัทร้านค้า ภาครัฐและองค์กรที่ให้บริการสาธารณะ
หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตประจำวันจำต้องปรับเปลี่ยน ทั้งในเรื่องการติดป้ายราคาสินค้า การเปลี่ยนสกุลเงินในบัญชีธนาคาร การจัดทำเหรียญกษาปณ์และธนบัตรจำนวนพันๆล้าน การนำเงินฟรังก์ออกจากตลาด ฯลฯ)
ทราบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.finances.gouv.fr
เหตุใดจึงต้องมีเงินสกุลเดียว เศรษฐกิจของยุโรปเป็นตลาดขนาดใหญ่เพียงตลาดเดียว สมาชิกแต่ละประเทศของสหภาพยุโรปค้าขายระหว่างกันเป็นส่วนใหญ่ ระบบเงินสกุลเดียวจะทำให้ปัญหาจากอัตราแลกเปลี่ยนหมดไป ทั้งยังมีส่วนในการพัฒนายุโรปให้เป็นหนึ่งเดียวโดยใช้เงินตราระหว่างประเทศของยุโรปเอง ในขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ นอกจากจะช่วยให้การแลกเปลี่ยนและการลงทุนคล่องตัวขึ้นแล้ว ประเทศโซนยูโรยังพยายามกระตุ้นให้เกิดการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น
เงินยูโร ( € )
นับแต่วันที่ 1 มกราคม 2002 จะมีการนำธนบัตรประมาณ 1.5 หมื่นล้านยูโรและเหรียญกษาปณ์ประมาณ 6 หมื่นล้านยูโรออกมาใช้ในประเทศโซนยูโร
ลักษณะเหรียญกษาปณ์ยูโร
เพื่อแสดงถึงความเป็นหนึ่งเดียวและความหลากหลายของยุโรป เงินเหรียญยูโรจึงได้รับการออกแบบให้มีด้านหนึ่งที่เหมือนกันในทั้ง 12 ประเทศ (เป็นสัญลักษณ์รูปดาว 12 ดวง) ส่วนอีกด้านหนึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ
เหรียญยูโรของประเทศฝรั่งเศสมี 3 แบบ โดยใช้สัญลักษณ์ Marianne (รูปปั้นผู้หญิงเฉพาะท่อนบนซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของสาธารณรัฐฝรั่งเศสและเสรีภาพ) ต้นไม้ (สัญลักษณ์ของการมีชีวิต) และ Semeuse (รูปผู้หญิงกำลังหว่านเมล็ดพืชซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์)
เหรียญเหล่านี้ไม่ว่าแบบใดสามารถใช้ได้ในทุกประเทศในโซนยูโร
ลักษณะธนบัตรยูโร
ด้านหน้าของธนบัตรยูโรของประเทศฝรั่งเศสเป็นรูปประตูและหน้าต่าง ส่วนด้านหลังเป็นรูปสะพาน ภาพสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ได้แรงบันดาลใจมาจากสถาปัตยกรรม 7 สมัยซึ่งแสดงถึงวัฒนธรรมยุโรปอันได้แก่ คลาสสิค โรมัน กอธิค เรอเนสซองซ์ บาร็อคและร็อกโคโค สถาปัตยกรรมที่มีการใช้เหล็กและแก้ว รวมไปถึงสถาปัตยกรรมสมัยใหม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น