วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

ฟิสิกส์ราชมงคล


หนังสือที่ลึกลับที่สุดในโลก
ห้องสมุดเบนเนคเก้ ของมหาวิทยาลัยเยล สหรัฐอเมริกา เป็นแหล่งหนังสือหายาก
จากยุคกลาง และ เรอเนสซองส์ มีสมุดบันทึกที่มีนักวิชาการจำนวนมากได้แวะเวียนเข้ามาศึกษาโดยตลอด แต่ ไม่มีผู้ใดสามารถทำความเข้าใจสาระที่บันทึกไว้ในสมุดเล่มนี้ได้เลย
หนังสือเล่มนี้พบในปี 1912 โดยนักค้าหนังสือเก่าชาวอเมริกัน-รัสเซีย ชื่อนาย วิลฟริด เอ็ม. วอยนิช (Wilfrid M.Voynich) ขนาด 6 คุณ 9 นิ้ว หนา 11/2นิ้ว มีอยู่ 240 หน้า แต่บางหน้าขาดหายไป ปกสมุดทำจากหนังลูกวัวสีครีม ไม่มีการระบุชื่อผู้เขียน ชื่อเรื่องหรือปีที่เขียนใด ๆ ทั้งสิ้น
รายละเอียดมีทั้งภาพและอักษรในสมุดมีความเฉพาะตัวเขียนด้วยปากกาขนนกซึ่งทำให้ดูสง่างาม เป็นตัวอักษรที่ไม่เคยพบเห็นในที่ใด ๆ ในโลกมาก่อนและ แทบทุกหน้ามีวาดภาพประกอบ มีทั้ง พืชพันธุ์ แปลก ๆ ภาพผู้หญิงเปลือย เชื่อมด้วยท่อที่ดูคล้ายเส้นโลหิต มีภาพคล้ายแผนผังเกี่ยวกับดาราศาสตร์ ที่มองจากกล้องเทเลสโคป และภาพคล้ายเซลล์ สิ่งมีชีวิตที่มองผ่านกล้องจุลทรรศน์ (ขออธิบายคร่าว ๆ ครับ ตอนหน้าค่อยมาเจาะลึกกัน)
การได้มาของหนังสือเล่มนี้
นายวอยนิช ได้มาจากอิตาลี และกลับไปอเมริกาเพื่อประกาศหาผู้เชี่ยวชาญมาดูเพื่อศึกษาและแปล อักขระ วันนี้ เกือบ 100 ปี ก็ยังไม่มีใครสามารถแปลความหมายของสมุดบันทึกเล่มนี้ได้แต่คำเดียว 
ภายในสมุดมีจดหมายสอดอยู่ เขียนด้วยภาษาลาติน วันที่ 19 สิงหาคม 1666 เป็นจดหมายที่ โจฮันส์ มาร์คุส มาร์ซี่ อดีตอธิการบดีของ มหาวิทยาลัยชาร์ลส์ แห่งกรุงปราก (ปัจจุบัน อยู่ในสาธารณรัฐเชค) เขียนถึง อธานาเซียส เคอร์เชอร์ นักวิชาการนิกายเจซูอิท แห่งวิทยาลัยโรมาโน ในกรุงโรม เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษา ผู้จัดทำ พจนานุกรมภาษาคอปติค (เป็นภาษาอียิปต์โบราณที่ใช้ในระหว่าง ปีค.ศ. 200-1100)

อนาธาเซีย เคอร์เชอร์
ภายในจดหมายมีใจความว่า สมุดบันทึกที่ส่งมาด้วยนี้ จอร์จ บาเรช (Georg Baresch) เพื่อนสนิทได้มอบให้ข้าพเจ้าก่อนเสียชีวิต และเป็นผู้ซึ่งเคยได้ส่งสำเนาบางส่วนของสมุดเล่มนี้มาให้ท่านเพื่อลองศึกษาและแปลความหมายดูแล้ว แต่เวลานั้นท่านได้ขอให้ส่งสมุดทั้งเล่มมา แต่ บาเรช ได้ปฏิเสธ ทำให้เรื่องหายเงียบไปอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ายังมั่นใจว่าท่านจะสามารถแปลความหมายในสมุดบันทึกเล่มนี้ได้อย่างแน่นนอน...

กษัตริย์รูดอล์ฟที่ 2
นอกจากนี้ในจดหมายได้เล่าว่าสมุดเล่มนี้เคยอยู่ในครอบครองของจักรพรรดิ รูดอล์ฟที่ 2 แห่งโบฮีเมีย ปี 1552-1612 ซึ่งซื้อมาด้วยเหรียญทองคำถึง 600 เหรียญ (เทียบเท่าทองคำที่น้ำหนักประมาณ 3.5 กิโลกรัมในปัจจุบัน)เพราะเชื่อว่าเป็นสมุดบันทึกของโรเจอร์ เบคอน (Roger bacon-พระโรมัน คาทอลิกชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียง ทั้ง ดาราศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ และ สาขาอื่น ๆ อีกมาก รวมทั้งเรื่องการแปรธาตุ เขามีชีวิตระหว่างปี 1214-1294) แต่มาร์ซีไม่มั่นใจ มีหลักฐานว่าในปี 1608 สมุดได้อยู่กับ เจโคบุส เดอ เทเพเนคซ์ (Jacobus de Tepenecz) ซึ่งเป็นแพทย์ส่วนพระองค์และเป็นผู้อำนวยการดูแลสวนสมุนไพรของจักรพรรดิรูดอล์ฟที่ 2 สันนิษฐานว่า พระองค์มอบให้เขาเพื่อศึกษา
หลังจากนั้น จนกระทั่ง เคอร์เชอร์ เสียชีวิต ในปี 1680 และถูกเก็บไว้ใน วิทยาโรมาโน (ปัจจุบันคือ Pontifical Gregorian University)
1870 กษัตริย์ วิคเตอร์ เอ็มมานูเอล ที่ 2 แห่งอิตาลี (King Victor Emmanuel) ได้ส่งกองทัพเข้ายึดกรุงโรมและรวมกรุงโรมเข้ากับรัฐพาพัล(Papal State) เป็นรัฐบาลใหม่ของอิตาลี เข้ายึดทรัพย์สินของโบสถ์และห้องสมุดของวิทยาลัยแห่งนี้ แต่ทางวิทยาลัยได้แอบขนย้ายหนังสือต่าง ๆ ในห้องไปเก็บไว้ห้องสมุดส่วนตัวของ พีทรัส เบคซ์(Petrus Beckx) ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะเจซูอิท และอธิการบดีของวิทยาลัยในขณะนั้น
ต่อมาห้องสมุดก็ย้ายไปอยู่ในวิลล่า มอนดรากอน ที่ฟราสคาติ (Villa Mondragone) ใกล้กรุงโรม
แต่ในปี 1912 ทางวิทยาลัยจำเป็นต้องแบ่งขายทรัพย์สินและหนังสือบางส่วนออกไป เนื่องจากขาดเงินหมุนเวียน และนายวอยนิช คือผู้ที่เข้ามารับซื้อไป
เมื่อนาย วอยนิชเสียชีวิตไป สมุดเล่มนี้ได้มีนักค้าหนังสือเก่าอีกคน ชื่อ ฮันส์ พี. เคราส์ (Hans P. Kraus) ซื้อมาและขายไป แต่ไม่มีใครซื้อ เขาจึงมอบสมุดเล่มนี้ให้กับ มหาวิทยาลัยเยล เก็บไว้
browserName = navigator.appName; browserVer = parseInt(navigator.appVersion); if (browserName == "Netscape" && browserVer >= 3) version = "n3"; else if (browserName == "Netscape" && browserVer < 3) version = "n2"; else if (browserName == "Microsoft Internet Explorer" && browserVer >= 4) version = "e4"; else if (browserName == "Microsoft Internet Explorer" && browserVer < 4) version = "e3"; function stopError() { return true; } window.onerror = stopError; function wireOpen() { if (version == "e4") { document.write("<marquee behavior=scroll direction=up width='100%' height=75 scrollamount=1 scrolldelay=70 onmouseover='this.stop()' onmouseout='this.start()'>") } } function wireClose() { if (version == "e4") { document.write("</marquee>") } } function MM_popupMsg(theMsg) { //v2.0 alert(theMsg); } //--> ลักษณะคร่าว ๆ ของหนังสือเล่มนี้
ในสมุดเล่มนี้ได้บันทึกอะไรไว้บ้าง เนื่องจากอักขระไม่มีผู้สามารถถอดความได้ สิ่งเดียวที่จะชี้นำก็คือ รูปภาพภายในเล่ม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาพของพืชพันธ์คล้ายสมุนไพรและแผนผัง ดาราศาสตร์ จึงเข้าใจว่าน่าจะเป็นสมุดบันทึกทางสายวิทยาศาสตร์
โดยเฉพาะด้านยาที่ทำจากสมุนไพร ซึ่งมีการพัฒนากันมากในยุคกลาง แต่บางแหล่งก็มีข้อสันนิษฐานเป็นบันทึกข้อมูลที่เกี่ยวกับการแปรธาตุ ในช่วง ศตวรรษที่ 15 ที่พยายามแปรโลหะชนิดต่าง ๆ ให้เป็นทอง เพราะพบบางภาพในสมุดมีลักษณะคล้ายกับสัญลักษณ์ที่ใช้ในเรื่องของแร่ธาตุ และเหตุผลที่สำคัญ พบว่า จักรพรรดิรูดอล์ฟที่ 2 ยอมซื้อสมุดเล่มนี้ถึง 600 เหรียญ พระองค์เป็นจักรพรรดิที่มีความสนใจสิ่งแปลกประหลาดยิ่งกว่ากษัตริย์อื่น ๆ ของยุโรป ทั้งยังเป็นผู้ที่ชอบเรื่องเวทมนต์ เล่มเกม ทำรหัส ทรงมีนักโหราศาสตร์รายล้อมอยู่มากมาย พระองค์เป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญในการค้นคว้าและเผยแพร่เรื่องการแปรธาตุอีกด้วย
ลักษณะพื้นฐานของบันทึกออกได้เป็น 5 ส่วนคือ
1. ส่วน พฤกษศาสตร์ มีสาระประมาณ ครึ่งหนึ่งของสมุด ราว 130 หน้า 
2. ส่วนดาราศาสตร์ และจักรวาล ส่วนนี้มี 26 หน้า
3. ส่วนชีววิทยา ส่วนนี้มี 4 หน้า กับ 28 ภาพวาด
4. ส่วน เภสัชศาสตร์ มีความคล้ายกับส่วนพฤกษศาสตร์ ส่วนนี้มี 34 หน้า
5. สูตร คาดว่าเกี่ยวกับสูตรยาเพราะมีการเขียนด้วยย่อหน้าสั้น ๆ ส่วนนี้มี 23 หน้า
แต่หน้าส่วนท้ายคือหน้า สันนิษฐานกันว่าเป็นบันทึกกุญแจไขปริศนาอักษร อีก 1 หน้า ที่ใช้ในสมุดบันทึกเล่มนี้ทั้งหมด

ผู้เชี่ยวชาญส่วนมากมักคิดว่าไม่ยากที่จะเข้าใจ แต่ ในที่สุดก็พบว่า จากการวิเคราะห์ในแง่ภาษาศาสตร์ ตัวอักษรที่บันทึกไว้ไม่ได้มีพื้นฐานมาจากภาษาลาติน อังกฤษ เยอรมัน หรือภาษาใด ๆ ที่เคยพบมาก่อน

ตามหลัก 
Zipf:s law แล้ว ก็พบว่าสอดคล้องกับภาษาทั่วไป แต่แตกต่างจากภาษาในยุโรป เช่น ไม่มีคำที่ประกอบด้วยพยัญชนะมาก ตั้งแต่ 10 ตัวขึ้นไป หรือน้อยแค่ 1-2 ตัว บางตัวใช้เป็นตัวสุดท้ายเท่านั้น บางตัวอยู่เฉพาะตรงกลาง ตามลักษณะของภาษาอารบิค แต่ ไม่มีในภาษาโรมัน กรีก และกรีกโบราณ เรียกว่า ซีริลลิค (Cyrillic)


หนังสือที่ลึกลับที่สุดในโลก ต่อ
การวิเคราะห์ในแง่ของรหัส
ทีมผู้เชี่ยวชาญการเขียนรหัส NSA(National Security Agency) ของสหรัฐอเมริกา นำโดย นาย วิลเลียม เอฟ. ฟรายด์แมน ก็ไม่สามารถสรุปว่าสอดคล้องกับหลักการเขียนรหัสชนิดใด ไม่ว่าจะเป็นการเขียนรหัส แบบ Substitution Cipher ส่วนแบบPolyalphabetic นั้นคิดค้นราวปี 1467 ซึ่งใกล้เคียงกับอายุของสมุดเล่มนี้ แต่ก็ไม่ใช่อีก เพราะรหัสแบบนี้จะทำให้หลักภาษาธรรมหรือ Zipf’s law หายไป การเขียนรหัสแบบcodebook Cipher, Visaul Cipher และ Stenography ก็ตกไปทั้งหมด
สมมติฐานที่ พอจะเป็นไปได้ ชาคส์ กาย นักภาษาศาสตร์ได้เสนอว่า อักษรเหล่านี้อาจเป็นการบันทึกเสียงของภาษาธรรมชาติของชาติตะวันออกเช่นภาษาจีน ด้วยอักษรที่ประดิษฐ์ขึ้น มาใหม่ ความถี่คล้ายกับเนื้อความในภาษาจีน และภาษาเวียดนาม
 
ต่อมาปลายปี 2003 นี้เอง ซบิกนิว บานาชิค (Zbigniew Banasik) ชาวโปแลนด์ ก็แสดงความเห็น ว่า สมุดเล่มนี้เขียนด้วยภาษาแมนจูเรียน และได้ลองแปลเพียงหน้าแรกของสมุดออกมา แต่เขาก็ไม่สามารถทำได้สมบูรณ์

ารตั้งสมมติฐานถึงผู้ที่เขียนเป็นผู้เขียนสมุดเล่มนี้ ที่อยู่ในข่าย
คนแรก คือ โรเจอร์ เบค่อน เพราะเป็นชื่อที่ทำให้จักรพรรดิรูดอล์ฟ ยอมจ่ายถึง 600 เหรียญทองคำ ซึ่งในปี 1919 วิลเลียม โรเมน นิวโบลด์ ได้ยืนยันว่าสมุดเล่มนี้เป็น งานของ โรเจอร์ เบค่อน จริง เพราะเบค่อนคือผู้ประดิษฐ์กล้องเทเลสโคปและกล้องจุลทรรศน์ แต่ในปี 1931 ก็ถูกโต้แย้งว่าการมองเห็นกาแลคซี แอนโดรมีดา และโครงสร้างเซลล์ของสิ่งมีชีวิต นั้น ต้องใช้กล้องเทเลสโคปและกลอ้งจุลทรรศน์ที่ทันสมัยเท่านั้น
จอน ดี พบจักรพรรดิ รูดอล์ฟที่ 2
คนต่อไปคือ จอน ดี นักคณิตศาสตร์ และดาราศาสตร์ แห่งราชสำนักควีนอลิซาเบธที่ 1 และ เป็นผู้ที่สะสมงานเขียนของเบค่อน สมมุติว่า เบค่อนเป็นผู้เขียน สรุปว่า ดีคือผู้นำไปขายแก่จักรพรรดิรูดอล์ฟที่ 2 แต่ก็ไม่มีน้ำหนักพอและถูกโต้แย้งจนตกไป
ดร. อีดิธ เชอร์วูด (Edith Sherwoodได้เสนอในปี 2002 นี้เองว่า สมุดเล่มนี้เป็นของ ลีโอนาร์โด ดาวินชี Davinci code ของจริง ประเด็นที่เขาหยิบยกขึ้นมามีน้ำหนักไม่น้อย
1. คือ ส่วนดาราศาสตร์นั้น มีภาพหนึ่งที่มีสัญลักษณ์ ราศีเมษ อยู่ตรงกลางและมีผู้หญิงเปลือย 15 คน ยืนอยู่ในถัง ซึ่งรายล้อมรอบจักรราศี ส่วนใหญ่กำลังตั้งท้อง ในถัง ใบหนึ่งแปลกออกไป คือมีผู้หญิงอยู่กับเด็กคนหนึ่งโดยผู้หญิงนั้นมีหน้าท้องแบน เธอถือคฑา ในยุคกลางนั้นจะทำการคลอดลูกในถังน้ำ ทำให้สันนิษฐานว่าเป็นการบันทึกกำเนิดของใครสักคนในวันที่ 15 เมษายน ระหว่าง 21 นาฬิกา-เที่ยงคืน เพราะตำแหน่งของถังน้ำที่มีเด็กกับผู้หญิงนั้นอยู่ตรงกลางระหว่างเลข 9 ถึงเลข 12 ของหน้าปัดนาฬิกา ในยุคกลางนั้นแตกต่างจากปัจจุบัน ทั้ง 24 ชั่วโมงบนหน้าปัดและมีเข็มชี้ เวลาเพียงก้านเดียว
ด้าซ้ายไม่กลับด้าน ส่วนด้านขวากลับด้านแล้ว
ดร. เชอร์วูดบอกว่า ในยุคนั้น จะเริ่มนับวันใหม่หลังจากพระอาทิตย์ตกและเขายังได้เคยอ่านพบบันทึกปู่ของดาวินชี เกี่ยวกับการเกิดของหลานชายคือ ดาวินชี ในปี 1452 ว่า...หลานชายของฉัน, ลูกชายของ Ser Piero เกิดในวันที่ 15 เมษายน วันเสาร์ เวลา 3 นาฬิกา กลางคืน เขาชื่อว่า Lionardo …” และเมื่อเช็คจากปฏิทินของยุคนั้นพบเป็นเวลา 3 นาฬิกากลางคืน หมายถึงเวลาประมาณ 22 นาฬิกา
ภาพขยายคือเด็กอยู่ในถังน้ำ
ภาพในถังน้ำที่มีเด็กมีตัวเลข 1452 ภาพที่พอแปลได้ จากการมองภาพสะท้อนในกระจกเงา คือ “Sabatta notto” ซึ่งแปลว่า Saturday night จะเห็นได้ว่า ความบังเอิญนี้เกิดขึ้นได้ยาก ที่จะมีคนอื่น ที่กำเนิดวันและเวลาเดียวกันกับ ลีโอนาร์โด ดาวินชี
ภาพขยายของคำว่า Sabatta notto
2. คือ จุดตรงกลาง ของภาพเดียวกันนั้นมีภาพแกะที่เป็นสัญลักษณ์ของราศีเมษ อยู่ และตัวอักษรใต้ภาพแกะนั้น เมื่อมองในกระจกเงาจะเห็นคล้ายคำว่า ‘Lionardo’ โดยมีตัว rเขียนเสริมไว้ด้านบน ซึ่งเห็นว่าคล้ายกับลายเซ้นของ ลีโอนาร์โด ดาวินชี ซึ่งเขาสะกดชื่อ ตัวเองว่า ‘Lionardo’ ไม่ใช่ ‘Leonardo’ อย่างที่ใช้กันในปัจจุบัน
ลายเซ็น ใต้รูปแกะ ที่ไม่กลัด้าน
ลายเซ็นของลีโอนาร์โด ดาวินชี
ข้อสุดท้าย ในส่วนดาราศาสตร์ ที่ต้องมองผ่านกระจกเงาจึงจะเข้าใจ เป็นภาพเกี่ยวกับแผนภูมิจักราศี แต่ละราศีก็มีชื่อกำกับไว้ ก็พอจะอ่านชื่อของแต่ละภาพได้ แต่บางชื่อก็ไม่ได้เขียนแบบกลับด้าน
ภาพคล้ายแกแลคซี ที่แสดงทิศทางตามเข็มนาฬิกา ซึ่งตามจริงคือต้องทวนเข็มนาฬิกา เพราะฉะนั้น เป็นภาพที่ต้องมองผ่านกระจกเงาเช่นกัน และเป็นที่ทราบกันดีว่า ดาวินชี มีความชำนาญวาดภาพและเขียนตัวหนังสือกลับด้าน
    ดังนั้น การสันนิษฐาน ถ้าหากว่า ดาวินชีเขียนหนังสือเล่มนี้จริง ก็คงไม่ใช่งานเขียนตอนที่เขาเป็นผู้ใหญ่ เพราะมีหลายภาพมีการเขียนแบบ เด็ก ๆ เช่น ภาพของพืชพันธุ์ในส่วนพฤกษศาสตร์ แต่ละต้นมีดอก ราก และใบที่ไม่สอดคล้องกัน ภาพราศี และภาพในส่วนของชีววิทยา ก็ดูคล้ายฝีมือเด็ก
ส่วนเรื่องราวในวัยเยาว์ของดาวินชี นั้นไม่สามารถหาได้ จึงยากแก่การสันนิษฐาน อย่างไรก็ตาม ดร.เชอร์วูด สรุป ว่า ลีโอนาร์โด ดาวินชี คือผู้ที่เขียนขึ้นมา เมื่อ เขาอายุ 8 ขวบ ราวปี 1460
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อได้ค้นหา ภาพที่เป็นงานเขียนของดาวินชี เช่น ภาพ Embryosและ ภาพ Vitruvian man มาเปรียบเทียบกับสมุดบันทึกแล้วจะดูไปในทิศทางเดียวกัน
ภาพ vitruvianman กับ Embryos
อย่างไรก็ตามสมุดบันทึกเล่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นงานเขียนของใคร ผู้เขียน สามารถเขียนอักษรที่ประดิษฐ์ขึ้นมาอย่างชำนาญ และยังสามารถรักษาความลับของผู้เขียนได้นานเกือบ 600 ปี ยังไงก็คงต้องใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยนี้ก็ยังไม่แน่ว่าจะไขปริศนาในสมุดเล่มนี้ได้ ผู้เชี่ยวชาญจึงยกให้เป็น สมุดบันทึกที่ลึกลับที่สุดในโลก ครับ...

เปิดโลกชีวิตนอกพิภพ
   ในการเดินทางออกไปนอกระบบสุริยะสู่ดาวเคราะห์ต่างถิ่น โดยยานสำรวจสองลำที่ปล่อยไปจากโลกจะค้นหาชีวิตต่างดาวได้เริ่มขึ้นแล้ว ปี 2014 เป็นปีมหัศจรรย์ที่ยานแสวงหาดาวเคราะห์ไฟน์เดอร์ (Finder) ขึ้นสู่วงโคจร ซึ่งภารกิจของมันคือหาดาวเคราะห์ที่มีลักษณะคล้ายโลกจำนวน 500 ดวง

   ความท้าทายทางเทคโนโลยีของภารกิจนี้จะใช้เวลาหลายสิบปีกว่า จะเสร็จสมบูรณ์หรือไม่ ทำให้นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำและวิศวกรสร้างภารกิจจำลองสู่ดาร์วิน 4 ดาวเคราะห์ดวงที่ 4 ในระบบไบนารี่ (Binary system) ชื่อ "ดาร์วิน" พวกเขาได้รวบรวมทีมนักวิทยาศาสตร์เพื่อรับรองว่ากฎฟิสิกซ์และเคมีมีอยู่ครบในแบบจำลองนั้น

   ภารกิจ "ดาร์วิน " การเดินทางโดยไร้มนุษย์ไปค้นหาชีวิตที่ไกลจากระบบสุริยะของเรา โดยยาน "วอน บรอน" (Von Braun) ออกจากวงโคจรโลกไปยังดาวเคราะห์ห่างไป 6.5 ปีแสง วอน บรอน มีขนาดเท่ากับเรือดำน้ำนิวเคลียร์ TAC และเดินทาง 37,000 ไมล์ต่อวินาที การเดินทางไปดาร์วิน 4 จะใช้เวลา 42 ปี ยานวอน บรอน มีเกราะส่วนหน้าที่ทำจากโลหะไว้ป้องกันยานเป็นรอยเพราะการปะทะกับขยะอวกาศที่เจอในระหว่างการเดินทาง ข้อความดิจิตอล  จะถูกส่งผ่านลำแสงเลเซอร์ แต่ขีดจำกัดของเวลาและพื้นที่ทำให้การสื่อสารระยะไกลมีปัญหา ทำให้การส่งสัญญาณจาก วอน บรอน กลับโลกยังใช้เวลาถึงหกปีครึ่ง ดังนั้น ยานวอน บรอน จะปฎิบัติภารกิจตามโปรมแกรมที่ได้ติดตั้งไว้

   เมื่อยานอวกาศวอน บรอน ถึงชั้นบรรยากาศของดาวดาร์วิน 4 แล้ว ภารกิจแรกของวอน บรอน คือการปล่อยยาน “ดาร์วิน รีคอนเนสแซนซ์ ออร์บิเตอร์” (the Darwin Reconnaissance Orbiter) หรือ “DRO” ซึ่งหน้าที่ของมันคือการตรวจสอบอากาศ มองหาภูมิประเทศและ สิ่งมีชีวิต DRO จะสร้างแผนที่ทั้งหมดของดาวเคราะห์และจะโคจรรอบดาวเคราะห์ ทำให้เราได้รายละเอียดของภูมิประเทศ ภาพจะถูกเก็บผ่านกล้องของ DRO จากภาพเผยให้เห็นถึง สันเขาขนาดใหญ่และทุ่งกว้าง ดาร์วิน 4 ไม่มีมหาสมุทรมีเพียงทะเลสีฟ้าเล็กๆ วอน บรอน ส่งยานอีกหนึ่งลำขนาดเท่ารถดั้มพ์ชื่อ บัลโบ (Balboa) เข้าสู่น่านฟ้าของดาร์วินในฐานะทูตคนแรกของเราสู่ดาวเคราะห์ที่ไม่รู้จัก

   นอกจากนั้น ยานวอน บรอน ยังมียานสำรวจอีกสองลำ คือยานสำรวจ “ลีโอนาร์โด ดาร์วินชี่” หรือ “ลีโอ” (Leo) และยานแฝดอีกลำชื่อ “ไอแซค นิวตั้น” หรือ “ไอค์” (Ike) ทำหน้าที่เข้าสู่ชั้นบรรยากาศเหมือนที่กระสวยอวกาศทำบนโลก การลงจอดขั้นสุดท้ายเป็นรูปแบบตัวเอส (S) เพื่อเผาผลาญความเร็วส่วนเกินก่อนลงจอด อุณหภูมิบนพื้นผิว 70 องศาฟาเรนไฮท์ ลีโอจะเป็นลำแรกที่ลงจอดและโผล่ออกจากยาน หัวที่เหมือนนกของลีโอ อัดแน่นไปด้วยเซนเซอร์ ขับเคลื่อนด้วยโปรโตคอลที่ฝังอยู่ในซอฟแวร์ ลีโอยืนยันว่าการลงจอดของไอค์เป็นไปด้วยดีและส่งรายงาน ไปยังวอน บรอน ข่าวที่ ลีโอ และ ไอค์ ลงจอดแล้ว จะถูกส่งกลับมายังโลกเช่นกัน

    รูปแบบชีวิตบนดาร์วิน มีหลายขนาดและบางชนิดเป็นอันตราย บนดาร์วิน 4 นักชีวดาราศาสตร์บางคนทำนายว่ารูปแบบชีวิตต่างดาวที่เราเจอคือจุลชีพ ดาร์วิน 4 มีหลากขนาดและหลายโฉม หน้า รูปแบบชีวิตนี้ขนาดเท่ากับทีเร็กซ์ (T-Rex) แต่แทนที่มันจะคำราม มันกลับกำลังส่งคลื่น โซน่าร์ เขตสังหารของนักล่าจอมพลังบนดาร์วิน 4 นักล่าต่างดาวที่จัดการเหยื่อด้วยโซน่าร์ การไล่ล่าความเร็วสูงเริ่มขึ้นบนดาร์วิน 4 และในยามค่ำคืน รูปแบบชีวิตต่างดาวจะเรืองแสง สายตาของมันอาจวิวัฒนาการน้อยกว่าสัตว์ใหญ่บนโลก ดังนั้นการใช้โซน่าร์จึงช่วยมองหาวัตถุรอบตัว เช่นลีโอและไอค์ได้แม่นยำกว่า ค่ำคืนบนดาร์วิน 4 แสงเรืองกระจายกันอยู่บนพื้นผิวราวกับไฟประดับต่างดาว อาจเป็นรูปหนึ่งของการสื่อสารบนดาร์วิน 4

     รูปแบบชีวิตขนาดใหญ่ที่ถ่ายโดยไอค์และลีโอได้รับการประเมินโดย วอน บรอน คอมพิวเตอร์ของมันปรับเปลี่ยนโปรแกรมครั้งสำคัญให้ยานทั้งสอง พวกมันถูกสั่งให้แยกกัน ลีโอจะออกไปตามหา สัตว์ใหญ่บนดาร์วิน ขณะที่ไอค์สำรวจระบบนิเวศน์และรูปแบบชีวิตที่เหมือนพืช ซึ่งก็ป่าที่โดดเดี่ยว ขนาดเล็ก พื้นป่าปกคลุมด้วยพืชกลมเหนียว กึ่งฟองน้ำกึ่งไวรัส เชื้อราขนาดยักษ์ที่เรียกว่า “ดาร์วิน โทเมโต้” (Darwin tomatoes) ผุดขึ้นจากดิน มีทรังคซัคเกอร์ (Trunksuckers) เกาะห้อย
อยู่กับต้นไม้เพื่อดูดกินชั้นที่อุดมด้วยสารอาหารใต้เปลือกแข็งหนา ส่วนสัตว์ประจำดาร์วิน 4 มี วิวัฒนาการด้านสังคม สัตว์พวกนี้มีปฏิสัมพันธ์กันด้วยวิธีซับซ้อนหลายแบบ ทั้งการจัดลำดับภายในฝูง เพศผู้ต่อสู้เพื่อเพศเมีย เหมือนที่พบในสัตว์ที่รวมฝูงบนโลก

     ท่ามกลางเซเรนเกติต่างดาว เราพบว่าบนดาวเคราะห์ดวงอื่น จะวิวัฒนาการตามเส้นทางที่แตกต่างจากชีวิตบนโลก เวลาเราดูดาร์วิน 4 และสิ่งมีชีวิต จากนั้นเรามองที่โลกและเห็นสัตว์เช่น ไทรันนอซอรัส เร็กซ์ เราค้นพบเส้นทางวิวัฒนาการสองเส้นที่ต่างกัน เริ่มจากวัตถุดิบที่แตกต่าง ภายในสถานการณ์คล้ายคลึง สุดท้ายเราเจอสิ่งมีชีวิตสองอย่างที่เหมือนกัน

      ช่องว่างระหว่างนิยายวิทยาศาสตร์และความจริงกำลังจะใกล้กันเข้ามา ข้อเท็จจริงทาง วิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจเท่านิยาย และใกล้เคียงกันมากขึ้นเมื่อเราแสวงหาชีวิตต่อไป


มหัศจรรย์จากการทดลองพลังปิรามิด
     ในสหรัฐมีการวิจัยค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะครับ จนกระทั่งมีการคั้งศูนย์วิจัยเกี่ยวกับปิรามิดขึ้น    ดร. โบริส เวอร์น (Dr. Boris Verm) ผู้อำนวยการโครงการวิจัย ได้ทำการทดลอง โดยใช้ปิรามิดจำลอง ความสูงเพียง 10 นิ้ว ขึ้นแรก เขาใช้ไข่ดิบ วางไว้ในปิรามิดจำลอง และหลังจากนั้นก็คือ ไข่ได้เกิดการแข็งตัว และเหือดแห้งภายในเวลาเพียง 3 สัปดาห์ เท่านั้นเอง ครับ และปรากฏว่า เชื้อราต่าง ๆ ที่มักจะเกิดตามเปลือกไข่ไม่เติบโตขึ้นเลย และหากนำไปไว้นอกปิรามิด แล้วเชื้อราจะเติบโตอย่างรวดเร็วครับ การทดลองอันนี้ ได้ทดลองซ้ำ ๆ กันหลายครั้ง และใช้วัสดุอื่น ๆ เช่น ดอกไม้ ผลไม้ ผัก และสัตว์ต่าง ๆ เช่นปลา และแมลงต่าง ๆ
อีกท่านหนึ่งคือ เวอร์น คาเมรอน นักวิจัยชาวคาลิฟอร์เนีย ทำการทดลองกับเนื้อหมู กับปิรามิดจำลอง โดยทดลองกับเนื้อหมู ประมาณ 2 ออนซ์ (56.6 กรัม) และไขมันดิบ อีก 1 ออนซ์ (28.3 กรัม) และวางไว้ในปิรามิดจำลองอีกแล้ว และที่ที่จะทำให้มันเน่าเปื่อยได้เร็วที่สุด เขานำปิรามิดจำลองนี้ ไปแว้ใน ห้องน้ำครับ ต่อมาเขาก็นำไปไว้ในห้องที่มีอากาศร้อน และห้องที่มีไอน้ำมาก เพื่อให้อุณหภูมิเปลี่ยนแปลง

     ในการเฝ้าดู แล้ว เขาสังเกต ว่าวันที่ 3 จะมีกลิ่นเหม็น จากเนื้อหมู คล้าย ๆ กับจะมีการเน่าเปื่อยเกิดขึ้น แต่พอ 6 วัน กลิ่นนั้น ก็หายไป และเนื้อหมู แห่งโดยไม่มีการเน่าเปื่อยเลย ครับ เป็นเวลาหลายเดือน เนื้อหมูก็ไม่เน่าเปื่อย นำสามารถยังนำมาทานได้อีก


      คาเมรอนยังได้ทดลองกับแตงโมอีก ก็วางไว้ในปิรามิดจำลองเช่นเดิม ไว้ในห้องน้ำอีกครั้งครับ จากนั้นเพียง 2-3 วัน ปรากฏว่า แตงโม จะเหือดแห้ง แต่ยังสามารถทานได้และไม่เน่าเปื่อยครับ นอกจากนั้นเขาก็ยังทดลองกับ น้ำนม หรือของเหลวอื่น ๆ อีกมากมายครับ
เขาพยายามค้นหาสาเหตุเขาจึงได้ประดิษฐ์ เครื่องวัดแสงรังสี (Aurameter) ขึ้น ใช้สำหรับวัดรังสี สนามพลังของวัตถุ เขากล่าวว่า พลังงานที่แผ่ขยายจากยอดปิรามิด จำลองอันเล็ก ๆ มีลักษณะคล้ายกับโครงสร้างของหินชั้นบนของปิรามิด ซึ่งมีสนามพลังแผ่กระจายลงมาถึงฐาน ลงมาเป็นแนวตั้ง
The image “http://www.ctglabs.com/Pics/plant_1.jpg” cannot be displayed, because it contains errors.
      พลังปิรามิด แห่งอียิปต์ เซอร์ ดับบลิว ซีแมนส์
อีกหนึ่งความสามารถของปิรามิดในการแสดงปฏิกิริยา เหมือนเครื่องสะสมไฟฟ้าสถิตครับ
เซอร์ ดับบลิว ซีแมนส์ นักประดิษฐ์ค้นคว้า ชาวอังกฤษ เขาเคยไปสัมผัสกับความลึกลับของมหาปิรามิด ในอียิปต์มา ในขณะที่เขายืนอยู่ภายใน ห้องเก็บศพอียิปต์ ตรงกับยอดของปิรามิด เขาพบว่า เมื่อใดที่เขาชูมือทั้งสองข้างขึ้นและกางนิ้วออก โสตประสาทของเขาได้ยินเสียงกังวาลเบา ๆ จากเบื้องบน ของปิรามิด แต่ที่น่าตกใจอีกแล้ว เขายกมือขึ้นแล้วใช้นิ้วชี้ตรงไปยังยอดของปิรามิดเขามีความรู้สึกคล้าย ๆ กับ ถูกเข็มจิ้มที่ปลายนิ้ว ครับ ต่อมา เขาก็ ยกขวดไวน์ ที่ติดตั้ง ดื่มแก้กระหาย ก็เกิดอาการกระตุกบริเวณปากขวด ขณะแตะริมฝีปาก และเขาใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ที่เปียกชื้นพันรอบ ๆ ขวด ปรากฏว่า มีการอาการกระตุก เกิดจากไฟฟ้า และขวดไวน์นั้นก็กลายเป็นเครื่องสะสมไฟฟ้าที่เรียกว่า ลีเดน จาร์ (Leyden Jar) http://www.alaska.net/~natnkell/leydendischarge.JPG
    ลีเดน จาร์ เป็นเครื่องทดลองสะสมไฟฟ้ายุคแรกที่ประกอบด้วย ขวดแก้วมีแผ่นดีบุกไว้ทั้งภายในและภายนอก แผ่นดีบุกที่อยู่ข้างในติดกับแท่งโลหะ มีปลายเป็นปุ่มโลหะ

    นักฟิสิกส์ หลายคนเชื่อว่า ปิรามิดไม่เพียงแต่จะเป็นสิ่งสะสมพลังงานเท่านั้นครับ มันยังสามารถกระจายพลังอำนาจต่าง ๆ ออกไปอีกด้วย จากวัตถุ ใด ๆ ก็ตามที่มีการสั่นสะเทือนของคลื่นความถี่แห่งพลังงาน นั้น ๆ ก็จะมีความสามารถเกิดปฏิกิริยาทางฟิสิกส์ขึ้นมาครับ คลื่นความถี่นี้ จะปรับกับระหับความถี่ของธรรมชาติ เช่นพลังงานแม่เหล็กโลก พลังงานคอสมิก จนกระทั่งก่อนให้เกิดพลังงานชนิดใหม่ขึ้นมา ครับ น่าทึ่งจริง ๆ

ยอดการขุดค้น ทางโบราณวิทยา และมานุษยวิทยา
10. กระโหลกตูไม (Toumai skull) ปี 2002 
มิเชล บรูเนต์ (Michel Brunet) ขุดพบฟอสซิลมนุษย์ดึกดำบรรพ์ในทะเลทรายกลางประเทศชาด เป็นซากกะโหลกอายุ 7-8 ปี มีรูปลักษณะคล้ายมนุษย์ที่พบได้ทางตอนใต้และตะวันออก ของแอฟริกา โดยเชื่อว่ามนุษย์มีวิวัฒนาการกระจายอยู่รอบๆ เกาะแอฟริกา
การขุด เจาะ และค้นคว้า เพื่อค้นหาที่มาของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตต่างๆ บนโลกคงยังไม่จบลงง่ายๆ เพียงแค่นี้ เพราะนอกจากมนุษย์เรามีคำถามที่ท้าทายหัวใจว่า เรามาจากไหน” คำถามที่ยิ่งใหญ่และยากจะหยั่งถึงคำตอบสำหรับวันข้างหน้าที ่ต้องหาให้ได้อีกข้อนั่นก็คือ “เราจะไปไหน” (และอย่างไร)
Go to fullsize image

9. พบรอยเท้ามนุษย์ดึกดำบรรพ์ (Laetoli Footprints) ในปี1978 
มารี ลีกเค (Mary Leaky) นำทีมค้นพบฟอสซิลรอยเท้าของมนุษย์ ออสตราโลพิเธคัสอายุประมาณ 3.5 ล้านปี ในเมืองลาเอทอลี (Laetoli) ประเทศแทนซาเนีย รอยเท้า 2 รอยดังกล่าวคาดว่าจะประทับไว้ขณะที่เดินย่ำโคลนภูเขาไฟที่มี ลักษณะเหมือนซีเมนต์เปียก โดยสันนิษฐานว่ามนุษย์เจ้าของรอยเท้านี้มีลักษณะ ที่สมบูรณ์แข็งแรง ดูจากการก้าวเท้าที่ยาวมั่นคง จึงเชื่อได้ว่า ณ เวลานั้นมนุษย์เดินหลังตรงแล้ว

8. ค้นพบ ลูซี่” หรือ ออสตราโลพิเธคัส อะฟาเรนซิส (Australopithecus Afarensis) ในปี 1974
โดนัลด์ โจฮานสัน (Donald Johnson) ค้นพบโครงกระดูกบางส่วนของมนุษย์เพศหญิงอายุ3.2 ล้านปี ในเอธิโอเปีย และนับเป็นการค้นพบมนุษย์ฟอสซิลที่มีอายุมากที่สุดในโลก ในขณะนั้น 

Go to fullsize image

7. ทฤษฏีการคัดเลือกตามธรรมชาติ (Theory of Natural Selection) ในปี 1858 
ชาร์ล ดาร์วิน (Charles Darwin) พิมพ์หนังสือชื่อ ออน ดิ ออริจิน ออฟ สปีชีส์ บาย มีนส์ ออฟ เนเจอรัล ซีเล็กชัน” (On the Origin of Species by Means of Natural Selection) อธิบายว่าธรรมชาติเป็นตัวกำหนดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ดาวิน ได้ออกเดินทางกว่า ปีเศษทางเรือ ไปอเมริกาใต้อ้อมแหลมออกมหาสมุทรแปซิฟิกไปสุมาตรา อ้อมแหลมกู๊ดโฮปกลับไปอังกฤษ ระหว่างการเดินทางเขาได้พบทั้งคน สัตว์ และพืชนานาชนิด เขาวาดภาพและเก็บตัวอย่างกลับมาอังกฤษมากมาย จนเขาเชื่อโดยมีหลักฐานยืนยันว่าสัตว์และพืชมีต้นกำเนิดมา จากแหล่งเดียวกันและคนมีวิวัฒนาการมาจากลิง
Go to fullsize image
6. แบ่งประเภทสายพันธุ์ ในปี 1735 
คาร์ล ลินเนียส (Carl Linnaeus) ได้รับการยกย่องให้เป็น “บิดาแห่งการแบ่งหมวดหมู่” (father of taxonomy) ได้พัฒนาระบบการตั้งชื่อ จัดอันดับ และแยกประเภทของสิ่งมีชีวิตทุกรูปแบบที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน (แม้ว่าหลายชนิดจะเปลี่ยนรูปร่างลักษณะไปจากเดิม) ระบบลินเนียนนี้อยู่บนฐานการใช้ลักษณะร่วมทางกายภาพ ใช้ลำดับขั้นเริ่มจากอาณาจักร (kingdoms) ที่บรรจุชั้น (classes) อันดับ (orders) ครอบครัว (famillies) สกุล (genera/genus) และพันธุ์ (species)
Go to fullsize image
5. พบซากสิ่งมีชีวิต 500 ล้านปี ในปี 1909 
ชาร์ล วาลค็อตต์ (Charles Walcott) ได้เปิดทางแร่ขนาดใหญ่พบซากฟอสซิลแคมเบรียน (Cambrian) ในเทือกเขาแคนาเดียน ร็อกกี้ (Canadian Rocky Mountains) พบซากสิ่งมีชีวิตชนิดหนี่งที่อาศัยอยู่บนโลกนี้มานานกว่า 500 ล้านปี ทั้งนี้วาลค็อตต์สะสมสิ่งมีชีวิตต่างๆ มากว่า 65,000 พันธุ์ โดยได้จำแนกสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ และยังค้นพบว่าซากฟอสซิลนั้นเป็นบรรพบุรุษของสิ่งมีชิวิต ทั้งหลายในโลก

4. ชีวิตใหม่ก่อตัวในช่องน้ำร้อนใต้ทะเล ในปี 1977 
บ็อบ บาลลาร์ด (Bob Ballard) และลูกเรือดำน้ำอัลวีน (Alvin) ได้พบสิ่งมีชีวิตที่น่ามหัศจรรย์ชนิดใหม่อาศัยอยู่ใต้ทะเลลึก ไม่พึ่งพาแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ แต่อาศัยอยู่ในรูพึ่งพาความร้อนจากน้ำ ซึ่งเป็นน้ำพุร้อนจากร่องแนวถูเขาไฟบริเวณสันเขากลางทะเลลึก โดยบริเวณนี้มีสภาพเกื้อหนุนทางเคมีที่จะช่วยให้ระบบนิเวศดำเนิน ต่อไปได้ใต้ท้องทะเล


3. ขีดความสามารถในการก่อกำเนิดสิ่งมีชีวิต ในปี 1953 
สแตนเลย์ มิลเลอร์ (Stanley Miller) ได้ผสมผสานความคิดของนักวิทยาศาสตร์ต่างๆ สร้างบรรยากาศของโลกยุคก่อนด้วยการสร้างห้องที่บรรจุเฉพาะ ไฮโดรเจน น้ำ มีเทนและแอมโมเนีย เขาต้มน้ำและใส่ธาตุที่ทำให้เกิดประจุไฟฟ้าเหมือนกับ การเกิดฟ้าแลบ พร้อมทั้งกระตุ้นผิวโลกให้เหมือนกระบวนการ ก่อตัวก่อนหน้านี้ หลังจากทดลองอยู่ สัปดาห์ มิลเลอร์ก็พบอินทรีย์ผสมก่อรูปขึ้น รวมทั้งกรดอะมิโน ก่อให้เกิดการสร้างชีวิตใหม่ขึ้นมา
Go to fullsize image
2. พบซากฟอสซิลไดโนเสาร์ชิ้นแรก ช่วงปี 1820 – 1840 
ในปี 1822 วิลเลียม บัคแลนด์ (William Buckland) นักธรณีวิทยา ขุดพบฟันขนาดใหญ่มากในอังกฤษ และในขณะนั้นก็ไม่มีคำอธิบายสิ่งที่เข้าค้นพบ จากนั้นอีก 20 ปีต่อมาในปี 1842เซอร์ริชาร์ด โอเวน (Sir Richard Owen) ได้นิยามคำว่า ไดโนเสาร์” ขึ้นมาอธิบายซากฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตที่ค้นพบบนเกาะอังกฤษ และซากไดโนเสาร์ตัวแรกที่ปรากฏแก่สายตาชาวโลกก็คือ เมกาโลซอรัส” (Megalosaurus) 


ฟอสซิลฟันเมกาโลซอรัส และนี่ทำให้มนุษย์โลก เริ่มรู้จักคำว่า "ไดโนเสาร์"

1. ทฤษฏีดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนโลกทำไดโนเสาร์สูญพันธุ์ ปี 1980 
วอลเตอร์ อัลวาเรซ (Walter Alvarez) มีหลักฐานยืนยันว่า พบธาตุไอรีดเดียม(iridium) ในแกนของหินตัวอย่างรอบโลก อันเป็นหลักฐานชี้ว่ามีดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนโลก เป็นเหตุให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ ซึ่งธาตุไอรีดเดียมนี้เป็นแร่ที่พบได้ทั่วไปบนดาวเคราะห์น้อย โดยได้ค้นพบชั้นโคลนบริเวณที่เรียนกว่า เขตเค-ที (K-T boundary) ชั้นโคลนนี้มีอายุ 65 ล้านปีมีอายุอยู่ระหว่างยุคครีเตเชียส (Cretaceous) และเทอร์เทอรี (Tertiary) ซึ่งเป็นยุคที่ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปในช่วงนี้
Go to fullsize image

Oarfish ปลาที่คนนึกเป็นพญานาค
Dragon of the Deep /
   Oarfishเจ้าปลาไหล หรือ มังกรทะเลลึกปลาไหลทะเลลึก
.หรือ ปลามังกรทะเล นับเป็นเวลานานมาแล้ว ที่มนุษย์มีความเคลือบแคลง-สงสัย เกี่ยวกับสัตว์ทะเลที่มีชื่อว่า "มังกรทะเลลึก" (Dragons of The Deep) มีนิยายเก่าแก่ ที่บรรยายถึงมังกรทะเลกล่าวไว้ว่า "มังกรทะเล..มีลำตัวยาวคล้ายงู หัวเหมือนม้า มีขนคอสีแดงดุจเปลวเพลิง"

ชาวประมง เคยพบสัตว์ประหลาดชนิดนี้ ขณะที่แล่นเรือหาปลาอยู่ในทะเล
    ดังกล่าวนี้ นักวิทยาศาสตร์ ได้ทำการค้นคว้าหาความจริง ในที่สุด ก็พบความจริงว่า "มังกรทะเลลึก" ที่กล่าวถึงนั้น ที่แท้แล้ว ก็คือ ปลาประหลาดชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า ปลาใบพาย .หรือ ปลาริบบิ้น นั่นเอง บางทีก็เรียกว่า ปลาออร์ (OAR FISH) ปลาชนิดนี้ มีขากรรไกรยาว หน้าผากโหนกคล้ายม้า ตาโต คลีบบนหลัง ยื่นออกมายาวเลยหัว มีคลีบพิเศษ ยื่นออกมาทั้งสองข้างของส่วนหัว คล้ายใบพาย และมีลำตัวแบน ปลาประหลาดชนิดนี้ หาดูได้ยากที่สุดในโลก เพราะมันอยู่ในความลึกของท้องทะเล ถึง 3,000 ฟุต และเคยพบตัวใหญ่ที่สุด มีความยาวถึง 200 ฟุต แม้ว่า สัตว์ประหลาดชนิดนี้ จะมีขนาดใหญ่โตอย่างไร แต่ก็ไม่เป็นพิษ เป็นภัย กับมนุษย์ เพราะมันไม่มีเขี้ยวเล็บอะไร และเป็นสัตว์โลกที่แสนสวย น่าดูมาก ส่วนใหญ่ ก็จะพบในสภาพที่ตายแล้ว 
 



กำเนิดและนิยามของลำดับฟีโบนักชี
The image “http://storage.msn.com/x1pxOYwqu4SjF7jxzYr4ItRRIqSz_sr9Zr7uYflXlSP-DtR9FGqmydcl96A8PzpNkQ3Dk4CTmpRpx6rVw9kdiMILw1CYbZ3BxN4JG1C-9OmB5dre7-SNYDbD_JhbrK09-Cgs-vuQsHOK6T2wGty7GMQNQ” cannot be displayed, because it contains errors.

ลีโอนาร์โด ดาปีซา (Leonardo da pisa, พ.ศ. 1718- พ.ศ. 1793) ชื่อจริง คือ ลีโอนาร์โด แต่เนื่องจากเขาเกิดที่เมืองปีซาในอิตาลี ซึ่งเป็นที่ตั้งของหอเอนปีซา จึงเรียกชื่อเป็น ลีโอนาร์โด ดาปีซา เมื่อเขาเขียนตำราคณิตศาสตร์ ได้ใช้นามปากกาว่า ฟีโบนักชี ,ฟีบอนาชี (Fibonacci)
ลีโอนาร์ ดาวินชี ก็เกิดที่เมืองวินชี ประมาณ 200 ปีหลังจาก ลีโอนาร์ ดาปีซา ได้เสียชีวิตไปแล้ว
 ฟีโบนักชี เป็นนักคณิตศาสตร์ชั้นนำคนหนึ่งในสมัยกลางมีส่วนช่วยพัฒนาเลขคณิต พีชคณิต และเรขาคณิต เป็นบุตรของพนักงานศุลกากร อิตาลี ซึ่งทำงานที่ Buagia (สมัยนี้คือ Bougie) ในแอฟริกาเหนือ บิดาของเขาต้องเดนทางไปทำงานยังเมืองต่าง ๆ ทางติวันออกและอาหรับ อันเป็นผลให้ฟีโบนักชี คุ้นเคยกับระบบทศนิยมฮินดู-อารบิก ซึ่งมีค่าประจำหลักและสัญลักษณ์ศูนย์ อิตาลีในขณะนั้นใช้เลขโรมัน ฟีโบนักชี เห็นคุณค่าและความงดงามของเลขฮินดู-อารบิก ในพ.ศ. 1745 เขาเขียนหนังสือชื่อ Liber Abaci หนังสือลูกคิด หรือหนังสือคำนวณ
 ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อนักคณิตศาสตร์ฝรั่งเศส ชื่อ Edouard Lucasเป็นบรรณาธิการตรวจทานแก้ไขหนังสือคณิตศาสตร์เพื่อการหย่อนใน 4 เล่ม ได้ตั้งชื่อลำดับซึ่งประกอบด้วย เลข ฟีโบนักชี นี้ว่า อันเป็นคำเฉลยของโจทย์ข้อหนึ่งในหนังสือ Liber abaci
 ตามประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า นักปรัชญา นักคณิตศาสตร์และจิตรกรกรีกได้นำตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับ สัดส่วนในรูปแบบต่าง ๆ ระหว่างก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 6 กับที่ 3 เพลโต ได้พิจารณาสัดส่วนทองดังนี้ การผูกพันกันมาที่สุดในบรรดาความสัมพันธ์ทางคณิตศาสตร์ด้วยกัน ได้เปิดทางให้ฟิสิกส์แห่งจักรวาล
อัตราส่วนทอง (golden ratio) และสัญลักษณ์ของอัตราส่วนทองมีที่มาโดยย่อดังนี้
<!--[if !supportLists]-->
  • เพลโต (Plato) ใช้คำว่า ภาคตัด (section)
  • ยูคลิด (Euclid) ใช้คำว่า อัตราส่วนค่าสุดขีดกับค่ามัชฌิม (extreme and mean ratio)
  • โรมัน (Roman) ใช้คำว่า ภาคตัดทอง (aurea sectio—golden section)
  • ลีโอนาร์โด ดาวินชี (leonardo da vinci) และ ลูคา ปาชิโอลิ (luca Pacioli) ใช้คำว่า สัดส่วนเทพเจ้า (divine proportion)
  •  คริส โตเฟอร์ คลาวิอัส (Christopher Clavius) ใช้คำว่า สัดส่วนเหมือนพระเจ้า (godlike proportion)
  • โยฮันเนส เคปเลอร์ (Johanes Kepler) ใช้คำว่า ภาคตัดพระเจ้า (divine section)
  • โยฮัน เอฟใ ลอเรนท์ (Johann F. Lorentz) ใช้คำว่า การหารต่อเนื่อง (continuity division)
  •  เจ. เลสลี (J.Leslie) ใช้คำว่า ภาค ตัดมัธยะ (medial section)
  • อดอล์ฟ์ ซีซิง (Adolf Zeising) ใช้คำว่า ส่วนตัดทอง (golden cut)
  • มาร์ก บาร์ (Mark barr) ใช้คำว่า ฟาย (Phi <!--[if !vml]--><!--[endif]-->)
  • เจ้าของบลอค เรียกว่า สัดส่วนสวรรค์ (Paradise Proportion) เอากะเขามั้ง
<!--[endif]-->
  <!--[endif]-->
1 1 2 3 5 8 13 21 34 55.+...

ภาพลวงตา 
และสิ่งลวงในชีวิตประจำวัน
              1)  ภาพลวงตา  ที่พบเห็นในชีวิตประจำวัน
              ในชีวิตประจำวันของทุกๆคน  จะพบกับภาพลวงตา(mirage)  อยู่เป็นประจำ  เช่น   เห็นน้ำท่วมถนน  แต่ความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น    ดังภาพข้างล่างนี้
การที่เราเห็นเสมือนมีน้ำท่วมถนน หรือเสมือนรถมีไฟหน้า  4  ดวง
เกิดจากการหักเหและการสะท้อนของแสง  เนื่องจากผิวถนนมีอุณหภูมิสูงและอากาศบริเวณผิวถนนมีความหนาแน่นน้อยมาก  ผิวถนนจึงทำหน้าที่เสมือนกระจกเงา  และสะท้อนแสงมาเข้าตาเรา ทำให้เราเห็นเสมือนมีน้ำท่วมถนน และเห็นไฟรถมี 4 ดวง  เราสามารถเขียนแผนภาพการหักเหและการสะท้อนของแสง  ได้ดังรูป  ต่อไปนี้
              ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากแสงจากดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ขณะอยู่ที่ขอบฟ้ามีการหักเหมากกว่าขณะที่ดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์อยู่ที่ตำแหน่งอื่นๆ
หรือการที่เราเห็นดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า  ดังรูป
รุ้งกินน้ำเกิดจากแสงแต่ละสีมีความสามารถในการหักเหไม่เท่ากัน เมื่อแสงกระทบกับละอองไอน้ำแสงแต่ละสีจะหักเหได้ไม่เท่ากัน ทำให้  แสงทั้ง 7 สีจะแยกออกจากกัน  โดยแสงสีม่วงจะหักเหมากที่สุด  และแสงสีแดงจะหักเหน้อยที่สุด  ดังรูป
เนื่องจากเราจะเห็นรุ้งกินน้ำได้เฉพาะบางมุมเท่านั้น  ดังนั้นเราจึงเห็นรุ้งกินน้ำเป็นรูปครึ่งวงกลม  ดังรูป
เนื่องจากรุ้งกินน้ำเกิดจากการหักเหของแสงเมื่อผ่านละอองไอน้ำ  ดังนั้นรุ้งกินน้ำจึงจะเกิดเฉพาะเมื่อมีละอองไอน้ำจำนวนมากในอากาศเท่านั้น เช่น  เวลาหลังฝนตก
              พระอาทิตย์ทรงกลดก็เป็นภาพลวงตาเช่นเดียวกับรุ้งกินน้ำ  แต่ต้นเหตุของการเกิดพระอาทิตย์ทรงกลด แตกต่างจากรุ้งกินน้ำ
              ต้นเหตุของการเกิดพระอาทิตย์ทรงกลด คือเกล็ดน้ำแข็งในบรรยากาศที่อยู่สูงกว่าละอองไอน้ำที่ทำให้เกิดรุ้งกินน้ำมาก    ดังนั้นพระอาทิตย์ทรงกลดจึงสามารถเกิดขึ้นในเวลาใดก็ได้    ถ้าสถานการณ์เหมาะสม
ภาพลวงตา และสิ่งลวงตาในชีวิตประจำวัน
บทนำ  PDF     
บทที่ 1  ภาพลวงตา และสิ่งลวงในชีวิตจำวัน    PDF     


เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก (Ink Jet Printer)
เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก โดยหัวพิมพ์ ซึ่งเป็นตลับหมึกของเครื่องพิมพ์ จะมีรูเล็กๆ ไว้พ่นหมึกลงบนกระดาษ ใช้หลักการพ่นหมึกลงในตำแหน่งที่ต้องการ โดยการควบคุมด้วย ไฟฟ้าสถิตย์จากคอมพิวเตอร์ ทำให้ไม่เกิดเสียงดัง ในขณะใช้งาน และยังสามารถพ่นหมึกเป็นสีต่างๆ เป็นเครื่องพิมพ์สีได้อีกด้วย
เครื่องพิมพ์ประเภทนี้ มีชื่อเรียกหลายชื่อ ตามเทคโนโลยีของผู้ผลิต เช่น Bubble Jet, Desk Jet Printer เป็นต้น เป็นเครื่องพิมพ์ที่ราคาไม่สูงมากนัก ปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างสูง
deskjet.gif stylus.gif
คุณภาพของเครื่องพิมพ์
  • ความเร็วในการพิมพ์ ประมาณ 0.5 ถึง 12 หน้าต่อนาที (pages per minutes : ppm.)
  • ความละเอียดในการพิมพ์ ประมาณ 180 - 1440 จุดต่อนิ้ว (dot per inch : dpi)
หมึกพิมพ์
หมึกของเครื่องพิมพ์ จะเก็บไว้ในตลับ สามารถเปลี่ยนตลับใหม่ได้ ปัจจุบันมีวิธีฉีดสีเข้าไปในตลับ แทนที่จะเปลี่ยนตลับ ทำให้ประหยัดต่อผู้ใช้ โดยสีที่ใช้ประกอบด้วย แม่สีฟ้า (Cyan) แม่สีม่วง (Magenta) และแม่สีเหลือง (Yellow) โดยสีดำจะเกิดจากการผสมของแม่สีทั้งสามสี ซึ่งไม่ดำสนิท เหมือนตลับหมึกสีดำเฉพาะ (แต่ราคาก็ถูกกว่าด้วย)
การพิจารณาซื้อเครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก
bjc-print.gif
  1. คุณภาพของงาน เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึกจะวัดคุณภาพ กันที่ความสามารถในการพิมพ์จุดต่อตารางนิ้ว (Dots Per Inch : DPI) โดยตัวเลขจะเป็นจำนวนจุดทางแนวนอน X จุดทางแนวตั้ง เช่น 300 X 300 Dpi เป็นต้น ซึ่งค่าจำนวนตัวเลขนี้ยิ่งมากก็ยิ่งดี เพราะจะสามารถพิมพ์ได้ละเอียดมากขึ้น
  2. ความเร็วในการพิมพ์งาน โดยปรกติแล้วจะวัดเป็นจำนวนแผ่นต่อนาที โดยจะแบ่งเป็น 2 แบบคือ การพิมพ์แบบร่าง และการพิมพ์แบบมาตรฐาน ซึ่งถ้าได้จำนวนแผ่นต่อนาที มาก นั่นหมายความว่า สามารถพิมพ์งานได้รวดเร็ว
  3. จำนวนหน้าที่สามารถพิพม์ได้ ต่อการเปลี่ยนหมึกหนึ่งครั้ง เครื่องพิมพ์ แบบพ่นหมึกนี้โดยมากแล้วราคามักจะไม่แพงมาก อยู่ทีประมาณ 3400 บาท - 6000 บาท แต่ราคาหมึกพิมพ์นั้นค่อยข้างแพงมาก เมื่อเทียบราคาต่อแผ่น กับเครื่องพิมพ์แบบอื่นๆ ดังนี้นจำนวนหน้าที่สามารถพิมพ์ได้ ต่อการเปลี่ยนหมึกหนึ่งครั้ง จึงถือว่าจำเป็นมากในการตัดสินใจเลือกใช้งาน
  4. ราคาของเครื่องพิมพ์ และราคาของหมึก เครื่องพิมพ์บางรุ่นราคาถูก แต่ หมึกพิมพ์มีราคาแพง เครื่องพิมพ์บางรุ่นมีราคาแพง แต่ราคาของหมึกพิมพ์ถูก ดังนั้นในการเลือกใช้งานต้องคำนึงถึงราคา ด้วย ถ้าซื้อเครื่องพิมพ์ที่มีราคาถูกมา แต่ต้องการพิมพ์งานที่มีจำนวนมาก ก็ต้องสิ้นเปลือง กับรายจ่ายที่ต้องเสียไปกับค่าหมึกเป็นจำนวนมาก

Inkjet Printer & Ink
เทคโนโลยีเครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ และน้ำหมึก
ปัจจุบันนี้ไม่ว่าเราจะทำอะไร หรือจะเดินทางไปไหน ไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ก็คงจะต้องพึงพาเทคโนโลยีกันทั้งนั้น จะว่าไปแล้วมนุษย์เรา ใช้เทคโนโลยี ตั้งแต่ ลืมตาตื่นนอนขึ้น หากสักวันหนึ่งมนุษย์เราขาดเทคโนโลยีที่ใช้ในชีวิตประจำวันไป มนุษย์เราจะทำอย่างไร
 
        เครื่องพรินเตอร์ก็เช่นเดียวกัน เครื่องพรินเตอร์ นับเป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่มนุษย์ได้สร้างขึ้น มนุษย์สร้างเทคโนโลยีขึ้นมาเพื่อ อำนวยความสะดวกในชีวิต ประจำวัน ตั้งแต่การเดินทาง การขนส่ง การสื่อสาร เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ตนเอง และผู้อื่น เทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างขึ้นก็มีทั้งสิ่งที่มีประโยชน์กับมนุษย์ และสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์(เป็นโทษ) กับมนุษย์ สิ่งที่เป็นประโยชน์กับมนุษย์ก็มีหลายอย่างเช่น การประดิษฐ์ เครื่องสร้างไฟฟ้า ทำให้มนุษย์เรามีแสงสว่างในตอน กลางคืน ไฟฟ้ายังสามารถแปลงเปลี่ยนเป็นพลังงานในรูปอื่นๆ ได้อีกหลายอย่าง ทำให้มนุษย์เราอยู่อย่างสุขสบาย
           ไม่ใช่มนุษย์จะสร้างแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์เท่านั้น มนุษย์ยังได้สร้างเทคโนโลยีที่เป็นโทษอีก เช่น เทคโนโลยีนิวเคลียร์ เทคโนโลยีนี้สร้างขึ้นมาเพื่อที่จะ สร้างพลังงาน ในรูปความร้อน แต่มนุษย์ก็นำไปใช้ในทางที่ผิด กลับนำไปใช้ในการทำสงคราม อีกทั้งยังก่อให้เกิดเป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
ตลับหมึกแบบแยกสีหรือรวมสี 
           เครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ที่มีราคาแพง จะแยกสีออกจาก ตลับสี C M Y K แยกออกจากกันอย่างชัดเจน และ EPSON Photo มีถึง 6 ตลับสี โดยเพิ่ม Light Cyan, Light Magenta อีก 2 สี เครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ ที่มีตลับรวมกัน (ตลับเดียว 3 สี CMY) นั้นจะมีราคาถูกกว่า (ตัวเครื่องถูกกว่า) เหมาะ สำหรับการใช้งานส่วนตัวหรือธุรกิจขนาดเล็ก พวกนี้ติดตั้งง่าย ในขณะที่ตลับหมึกแบบแยกสีนั้นเหมาะ สำหรับการใช้งานองค์กรขนาดใหญ่หรืองานที่ต้อง พิมพ์ปริมาณมากๆ


กลไกในการฉีดหมึก
           กลไกในการฉีดหมึกของเครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ มีสองแบบคือ แบบเทอร์มอล (Thermal) คือ การใช้ความร้อนในการอุ่นหมึก แล้วควบแน่นไอหมึกเพื่อ ฉีดเป็นหยดหมึกบนกระดาษอีกที และอีกกลไกคือ หัวฉีดหมึกแรงดันสูง (Piezo Electronic) ซึ่งมีใช้ในเครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ EPSON โดยส่วนใหญ่ แล้ว เวลาซื้อ ถ้าหากถามคนขายหรือดูในสเปกของพรินเตอร์ อาจจะไม่ทราบว่าพรินเตอร์รุ่นนั้นใช้เทคโนโลยีใดในการทำงาน ข้อแตกต่างของสองเทคโนโลยีคือ ความแม่นยำ การควบคุมปริมาณ และความคมชัดของงานพิมพ์ ซึ่งผู้ผลิตแต่ละรายต่างก็พัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองให้ดีที่สุด
ประเภทของหมึกที่ใช้ 
           หมึกที่ใช้สำหรับเครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท และบางทีการแบ่งประเภทของเครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ ก็แบ่งตามประเภทหมึกด้วย
• ประเภทแรกคือ Liquid Inkjet คือ ใช้หมึกที่เป็นน้ำ มีแม่สี 4 สี C M Y K โดยจะมีหมึกสองอย่างคือ หมึกพิมพ์แบบ Dye, หมึกพิมพ์แบบ            Pigment และหมึกพิมพ์แบบ Solid Ink เครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ราคาประหยัดโดยทั่วไปจะใช้หมึกพิมพ์แบบ Dye เพราะละลาย            ได้ง่ายกว่าหมึกพิมพ์แบบ Pigment ให้ระดับสีที่กว้างกว่า เหมาะสำหรับงานทั่วไป แต่หมึกพิมพ์แบบ Pigmentนั้นจะสามารถภาพที่มี      ความคงทนมากกว่า ซึ่งทาง EPSON ได้พัฒนาหมึก โดยใช้หมึกพิมพ์ DuraBrite ซึ่งถูกพัฒนาให้มีระดับที่กว้างกว่าและมีความคงทนกว่า

• หมึกประเภทที่สองคือ Dye Sublimation พวกนี้หมึกจะมีลักษณะเป็นฟิล์มบางๆ ของสี 3 สี CMY ส่วนสีดำ เกิดจากการผสมของ 3 สี            งานพิมพ์ที่ได้จากเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทประเภทที่ใช้ Dye Sub ถือว่าเป็นงานพิมพ์ระดับมืออาชีพ ต้นทุนค่าหมึกและค่าเครื่องของพรินเตอร์      อิงค์เจ็ทประเภทนี้มีราคาสูง

• ประเภท Solid Ink-jet ประเภทนี้ไม่เหมาะกับงานพิมพ์ภาพถ่าย แต่เหมาะสำหรับการพิมพ์เอกสารเพื่อตรวจปรุ๊ฟ (Proof)
กลไกการฉีดหมึกของ Epson
EPSON กับเครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์
           เครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์แบบฉีดหมึกของ EPSON นั้นแบ่งออกเป็นตระกูลใหญ่ได้สองตระกูลคือ EPSON Stylus ซึ่งถือเป็นเครื่องอิงค์เจ็ท พรินเตอร์ ระดับทั่วไป และ EPSON Stylus Photo เป็นเครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ในระดับการพิมพ์งาน “ภาพถ่าย” ที่ต้องการความละเอียดของภาพมากกว่า
EPSON เป็นผู้ผลิตพรินเตอร์รายต้นๆ ที่ พัฒนาพรินเตอร์แบบฉีดหมึกออกสู่ตลาด EPSON ได้รับการยอมรับในเรื่องความสดของสี การถ่ายทอด สีที่เที่ยง ตรง และความเร็วในการพิมพ์ จะว่าไปแล้วทั้ง EPSON และ HP ก็คือ คู่แข่งขันกันในธุรกิจเครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ เพราะยี่ห้ออื่นๆ นั้น ได้รับ การยอมรับ และมีตัวเลือกไม่มากเท่ากับ HP, EPSON
เทคโนโลยี Pigment INK ของ Epson ทำให้ได้งานพิมพ์ที่มี ความถูกต้อง สมบูรณ์
 ถ้าหากดูเทคโนโลยีแล้ว EPSON ดูเหมือนจะมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีของเครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์มากกว่า HP ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมการฉีดหมึก การสร้างภาพ การทำให้สีเหมือนธรรมชาติ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่เครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ของ EPSON ได้รับความนิยมมากกว่า HP (ของ HP นั้น พรินเตอร์เลเซอร์ครองตลาดมานาน)
           EPSON Stylus C50 พิมพ์ด้วยความละเอียด 1440 และ C60 พิมพ์ด้วยความละเอียด 2880 ทั้งสองรุ่นเป็นเครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ราคาประหยัด รุ่นใหม่นั้นใช้เทคโนโลยี PPIS (Perfect Picture Imaging System) เพื่อให้ได้ผลงาน การพิมพ์ออกมา ให้สมบูรณ์แบบที่สุด โดยประกอบด้วย เทคโนโลยีหัวพิมพ์ ที่ใช้ EPSON Micro Peizo ซึ่งเป็นระบบหัวฉีด ความดันแรงสูง และระบบการแปลงสี AcuPhoto Halftoning การสร้างภาพ โดยการฉีดหมึกใช้เทคโนโลยี Ultra Micro dot ซึ่งจะให้ขนาดของหยด หมึกที่มีขนาดเล็ก จุดของสียิ่งเล็ก ยิ่งให้ภาพละเอียด มากขึ้น
           ในขณะที่ HP มุ่งประเด็นไปที่การพัฒนา PhotoRet III แต่ EPSON จะแตกต่างกว่า EPSON เรียกเทคโนโลยีที่ตัวเองพัฒนาว่า PPIS (Perfect Picture Imaging System ระบบการสร้างภาพที่ สมบูรณ์แบบ ซึ่งรวมไปถึงการใช้ระบบการสร้างคุณภาพของภาพ (Photo Repro duction Quality PRQ) เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าภาพที่ได้จะมีสีสันและความคมชัดที่ถูกต้อง โดยการปรับกลไกการสร้างภาพ ที่มีสีทึบและภาพที่มีแสง สว่างให้มีความแม่นยำมากขึ้น
           นอกจากนี้ EPSON ยังมีเทคโนโลยี Printing Image Matching สำหรับรุ่น EPSON Stylus Photo ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วย ในเรื่องของการ จับคู่ภาพ ให้ภาพที่ได้จากกล้องดิจิตอลนั้นเมื่อนำมาพิมพ์ด้วย EPSON Stylus Photo แล้วยังมีสีสันเหมือนภาพต้นฉบับอยู่
HP กับเทคโนโลยี PhotoRet 
           เครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ของ HP ได้รับความนิยมในอันดับต้นๆ ทั้งนี้เพราะ HP ถือเป็นผู้ผลิตรายหนึ่งที่พัฒนาเทคโนโลยีการพิมพ์ของเครื่องอิงค์เจ็ท พรินเตอร์อย่างต่อเนื่อง พรินเตอร์ของ HP ได้รับการยอมรับในเรื่องความทนทานในการทำงาน การ ออกแบบที่ใช้งานได้สะดวก อุปกรณ์ต่อพ่วงที่มีให้ครบครัน เช่น เมื่อพอร์ต USB ได้รับความนิยม HP ก็พัฒนาพรินเตอร์ที่ใช้พอร์ต USB ออกมา นอกจากนี้ HP ยังมี EIO (Ethernet IO Card JetDirect) เพื่อรอง รับกรณีที่ผู้ใช้งานพรินเตอร์นั้นต้องการนำพรินเตอร์เข้าไปใช้งานในเครือข่ายด้วย ไดรเวอร์ทุกรุ่นของ HP สนับสนุนการแชร์พรินเตอร์ผ่าน เครือข่ายเป็นอย่างดี
เทคโนโลยีในการสร้างภาพของ HP คือ PhotoRet (โฟโต้เร็ต)ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เวอร์ชั่นแรกของ PhotoRet นั้นสนับสนุนการพิมพ์ที่ 600 x 600 จุดต่อตารางนิ้ว แต่พิมพ์เพียง 4 ชั้นต่อ 1 จุด การสร้างสีจึงทำได้เพียง 48 สี ในบางกรณี สีที่ออกมาบนกระดาษ จึงไม่เหมือนกันกับสี ที่เห็นจากจอ คอม พิวเตอร์นัก ปัจจุบันเทคโนโลยี PhotoRet ยังมีอยู่ในพรินเตอร์ตระกูล Deskjet 600 ของ HP ซึ่งถือเป็นพรินเตอร์ที่มีราคาต่ำ เหมาะสำหรับการนำมาใช้ งานธุรกิจ ที่ไม่ต้องการภาพที่สวยงาม เหมือนจริงมากนัก


           ต่อมา HP ได้พัฒนา PhotoRet II ซึ่งถือเป็นเวอร์ชันที่ 2 ออกสู่ตลาด เทคโนโลยีนี้ยังให้ความละเอียด 600 x 600 จุด ต่อตารางนิ้ว เหมือนเดิมแต่ HP บอกว่าเทคโนโลยีนี้ ทำให้ภาพที่ได้เสมือนกับการพิมพ์ที่ให้ความละเอียด 1,200 x 600 จุดต่อตารางนิ้ว ทั้งนี้เพราะการผสมสีที่จุดสี ถึง 16 ชั้น ทำให้ สร้างเฉดสีได้ 650 สีต่อ 1 จุด โดยที่หยดหมึกแต่ละหยดจะมีขนาด 10 พิโคลิตร พรินเตอร์ซีรี่ 800 ของ HP จะใช้เทคโนโลยี PhotoRet II นี้ ซึ่งจะ เหมาะ สำหรับงานที่ต้องการความละเอียดของกราฟิก สักหน่อย ต้องการสีที่ ประณีต โดยส่วนใหญ่แล้ว ถ้าหากนำเอาไปพิมพ์ภาพถ่ายบนกระดาษโฟโต้ ภาพที่ได้บน กระดาษ A4 ก็เป็นภาพที่อยู่ในระดับให้ รายละเอียดของภาพและเกรนที่ดี
           เทคโนโลยีล่าสุดของ HP ที่ใช้พรินเตอร์ แบบอิงค์เจ็ตคือ PhotoRet 3 โดยมีการนำเอาไปใช้กับพรินเตอร์ตระกูล Deskjet 900, 1200 เทคโนโลยี นี้ยังคงให้ความละเอียด 600 x 600 จุดต่อตารางนิ้ว แต่ HP บอกว่าให้สีเทียบเท่าภาพที่มีความละเอียด 2,400 x 1,200 จุดต่อตารางนิ้ว เพราะมีการผสมสีถึง 29 ชั้น ให้รายละเอียดสีได้ถึง 3500 เฉดสี โดยที่หยดหมึกที่ถูกพิมพ์จะมีปริมาณน้ำหมึกเพียง 5 พิโคลิตร เมื่อเทียบกับ PhotoRet II แล้ว จะเห็นว่า Photo Ret 3 น่าจะให้งานที่มีความประณีตกว่าถึง 3 เท่า เหมาะสำหรับการนำมาใช้งานที่ต้องการความประณีตของกราฟิกมากๆ ซึ่งปัจจุบันนี้เองก็ได้มี PhotoRet 4 ออกมาใช้กับเครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ของ HP กันแล้วครับ
Canon กับ Microfine Droplet Technology 
           แคนนอน เป็นผู้ผลิตพรินเตอร์ สแกนเนอร์ ที่พยายามนำผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาดเสมอ แคนนอนไม่เรียกอิงค์เจ็ต เพราะถือว่าระบบของตัวเองไม่ฉีด หมึก แต่แคนนอนเรียกว่า Bubble Jet คือ ระบบการหยดหมึก/พ่นละอองหมึก ซึ่งโดยความจริงแล้วหลักการทำงานจะไม่แตกต่างกันกับอิงค์เจ็ตแต่อย่างใด เทคโนโลยีในการหยดหมึกของแคนนอนนั้นมีชื่อว่า Drop Modulation Technology (DMT) และในพรินเตอร์รุ่นใหม่นั้นใช้ Microfine Droplet Technology ซึ่งพิมพ์ได้ความละเอียดที่ 2,400 X 1,200 จุดต่อตารางนิ้ว ให้คุณภาพในการพิมพ์สูง ในปัจจุบันสามารถพิมพ์ได้ที่ความละเอียดมากกว่า 4,800 x 1,200 จุดต่อตารางนิ้ว
กลไกการทำงานของ MicroFine Droplet Technology
การดูแลรักษาเครื่องพรินเตอร์ ตลับหมึก และโทนเนอร์
           การดูแลรักษาจะแบ่งออกเป็น การดูแลรักษา ตลับหมึก โทนเนอร์ และการดูแลรักษาเครื่องพรินเตอร์ ครับ การดูแลรักษาอุปกรณ์เหล่า นี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่ จะทำความเข้าใจครับ เพราะเพียงแค่ผู้ใช้เองทำความเข้าใจกับการใช้งานสักนิด ก่อนจะใช้งานก็อ่านคู่มือทำความเข้าใจกับตัวผลิตภัณฑ์สักนิด ก็จะช่วยให้เรา ใช้งานอุปกรณ์เหล่นั้นได้ถูกต้อง ไม่เกิดปัญหาร้ายแรงตามมาครับ หรือหากพบกับปัญหาผู้ใช้เองก็อาจจะแก้ปัญหาเบื้องต้นที่เกิดขึ้นได้ ไม่ต้องเสียเวลายกเครื่อง ไปที่ร้าน หรือศูนย์บริการ เพราะเมื่อท่านมารู้ทีหลังว่า “แค่นี้เองหรอ?” จุดบกพร่องอาจจะเกิดจากตัวผู้ใช้เองก็เป็นได้ครับ อย่างนั้นเรามาศึกษาถึงวิธีการดูแล รักษาและใช้งานให้ถูกต้องกันดีกว่าครับ
การดูแลรักษาเครื่องพรินเตอร์
           การดูแลรักษาเครื่องพรินเตอร์ก็ไม่ใช่เรื่องยากในการปฏิบัติครับ ยกตัวอย่างเช่น ท่านใช้เครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ ทุกครั้งที่ท่านเปิด หรือใช้งานเครื่อง คอมพิวเตอร์ ควรที่จะเปิดไฟที่เครื่องพรินเตอร์ ด้วย เพราะจะทำให้เครื่องพรินเตอร์ทำงานตลอดเวลา เพราะว่าเครื่องอิงค์เจ็ท พรินเตอร์จะใช้ตลับหมึกเป็น อุปกรณ์สำคัญที่ใช้ในการพิมพ์ครับ การที่เครื่องพรินเตอร์ไม่ได้ทำงาน ก็จะทำให้ตัวตลับหมึกอยู่กับที่ตลอดเวลา เป็นสาเหตุให้น้ำหมึกแข็งตัว น้ำหมึกก็จะไหล ไปตัดที่หัวพิมพ์ ทำให้เกิดปัญหาไม่สามารถพิมพ์งานต่อไปได้ครับ ดังนั้นการที่เปิดเครื่องพรินเตอร์ พร้อมๆ กับการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกครั้ง จะทำให้ เครื่องพรินเตอร์ทำการล้างหัวพิมพ์ทุกครั้งที่ใช้งานครับ แต่ทางที่ดีผู้ใช้ควรจะสั่งพิมพ์งานอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้งเพื่อให้เครื่องพรินเตอร์ได้ทำงานบ้างครับ หมั่นทำความสะอาดเครื่องพรินเตอร์ และหัวพิมพ์ประมาณ 2-3 อาทิตย์ ต่อครั้ง เพื่อกำจัดฝุ่นละอองและผงที่ตกอยู่ในเครื่องพรินเตอร์ครับ เพราะจะทำให้งาน พิมพ์ที่ได้คุณภาพไม่ดีเท่าที่ควรครับ
การดูแลรักษาตลับหมึก และโทนเนอร์
           การดูแลรักษาตลับหมึก และโทนเนอร์ ก็ คล้ายๆ กับการดูแลรักษาเครื่องพรินตอร์ครับ ส่วนสำคัญจะอยู่ที่การเลือกซื้อ และเลือกใช้ตลับหมึก โทนเนอร์ เสียมากกว่าครับ ควรเลือกตลับหมึกโทนเนอร์ของแท้จะดีกว่า เพื่อที่จะได้งานพิมพ์ที่มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพในการพิมพ์ที่ดียิ่งขึ้นครับ
ใช้ผงหมึกและหมึกพิมพ์ปลอม 
           ปัจจุบันนี้ได้มีการเลียนแบบผงหมึกและหมึกพิมพ์ของแท้ขึ้นมามาก โดยการนำเอาตลับหมึกของแท้ที่ใช้หมดแล้วไปเติมน้ำหมึกลงไป และก็นำมาขายใหม่ อีกครั้ง บางรายก็ดีหน่อยก็ทำตลับใหม่ขึ้นมาเอง แล้วนำน้ำหมึกที่ผสมด้วยสูตรของตนเองใส่ลงไป โดยที่สินค้าประเภทนี้จะมีราคาที่ถูกกว่าของบริษัท ผู้ผลิต เครื่องพรินเตอร์

1. ส่งผลเสียต่อคุณภาพงานพิมพ์ เพราะ น้ำหมึกจะไม่เกาะตัวเป็นก้อน แต่น้ำหมึกจะแตกกระจายออก ไม่เป็นกลุ่มก้อนครับ ขณะที่ใช้งานก็จะทำให้ น้ำหมึกไหลเลอะเทอะเครื่องพรินเตอร์ครับ อาจจะทำให้เครื่องพรินเตอร์เกิดอาการช็อต คุณภาพ ของงานพิมพ์ที่ได้ก็ไม่ดีเท่าที่ควรครับ สีอาจ จะเพี้ยน

2. ส่งผลเสียกับเครื่องพรินเตอร์ เพราะการที่ใช้ผลิตภัณฑ์เติมน้ำหมึก ผู้ใช้ปฏิบัติตามขั้นตอนไม่ถูกต้อง ทำให้น้ำหมึกที่เติมลงไป ไหลย้อนออกมา ทางด้านช่องที่เติมน้ำหมึก น้ำหมึกที่ไหลออกมานั้นก็กระจายเลอะไปทั่วเครื่องพรินเตอร์ ทำให้เกิดอาการช็อต หรืออาจทำให้ไม่สามารถสั่งพิมพ์ งานต่อไปได้ เพราะหัวพิมพ์มีน้ำหมึกไหลมาอุดตันอยู่
การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์น้ำหมึก ตลับหมึก และโทนเนอร์
           การที่จะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์น้ำหมึก ตลับหมึก และโทนเนอร์ของคุณก็ไม่ใช่เรื่องที่จะยากครับ การ จะเลือกซื้อ เลือกใช้ก็ควรจะต้องดูก่อนว่าเครื่อง พรินเตอร์ที่คุณใช้เป็นเครื่องแบบใด แล้วยี่ห้ออะไร รุ่นไหน ทางที่ดีควรที่จะจำด้วยว่าใช้หมึกรหัสอะไรจะดีมากเลยครับ เพราะจะได้ทำให้สามารถ ลดเวลา ในการค้นหาสินค้าได้เป็นอย่างดี แบบนี้สะดวกทั้งผู้ซื้อและผู้ขายครับ


           สิ่งที่ผู้ใช้เครื่องพรินเตอร์ ทั้งหลายหวาดกลัวกันก็คงจะหนีไม่พ้น ตลับหมึก หรือโทนเนอร์ปลอม อย่างไปคิดนะครับว่าของถูกจะดีเสมอไป ของถูกๆ ดีๆ หาได้ยากครับ ส่วนใหญ่จะเจอแต่ของถูกๆ แต่คุณภาพไม่ดีทั้งนั้นครับ ดังนั้นการเลือกซื้อก็ควรจะสังเกตที่บรรจุภัณฑ์ของตัวสินค้าก่อนเป็นอย่างแรกครับ ดูที่ โลโก้ของผลิตภัณฑ์ว่ามีหรือไม่ สัญลักษณ์ที่แสดงถึงตราสินค้ามีหรือไม่ ซึ่งในตอนนี้ผู้ผลิตเครื่องพรินเตอร์หลายราย ก็พยายามที่จะสร้างความแตกต่างของ ตัวบรรจุภัณฑ์เพื่อให้ลูกค้าได้เป็นข้อสังเกตในการเลือกซื้อได้ง่าย ครับ อย่างเช่น ใช้แผ่นฟิล์มส่องเพื่อตรวจสอบว่า มีโลโก้ของสินค้าแสดงหรือไม่ หากมีโลโก แสดงก็แสดงว่าเป็นผลิตภัณฑ์ของแท้ครับ หากไม่มีก็แสดงว่านั่นแหละครับของปลอมชัวร์


           บางบริษัทที่ทำสินค้าออกมาเลียนแบบ อาจจะใช้รูปทรง สีสัน ลักษณะของบรรจุ--ภัณฑ์ที่เหมือน หรือคล้ายกับของแท้มาก หากเป็นผู้ซื้อที่ไม่ได้สนใจกับ ตัวสินค้า เลือกซื้อเฉพาะรุ่นที่ใช้กับเครื่องพรินเตอร์ได้ เลือกซื้อตรงที่ราคาที่ถูก ประหยัดเงินในกระเป๋า ท่านคิดผิดไปแล้วครับ ดังนั้นการเลือกซื้อควรที่จะใช้ ความพินิจพิจารณาไตร่ตรองสักนิดครับ เพื่อที่จะได้ไม่เสียเงินทองไปโดยเปล่าประโยชน์ แล้วที่สุดแล้วท่านก็เป็นผู้ที่จะต้องเสียใจ กับปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมา ครับ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องพรินเตอร์เสีย ไม่สามารถใช้งานได้ จนกระทั่งจะต้องซื้อเครื่องพรินเตอร์ใหม่เลยก็เป็นไปได้ครับ

ก า ร เ ลื อ ก ซื้ อ Inkjet Printer

  ปัจจุบันมีหลายบริษัทที่ผลิต Inkjet Printer เข้าสู่ตลาด แต่ละบริษัทก็อ้างสรรพคุณแตกต่างกันออกไป ทำให้ผู้ซื้อเกิดความสับสน ในการเลือกซื้อ ดังนั้น ลองพิจารณา หัวข้อต่าง ๆ เหล่านี้ดู เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกซื้อ
1. เทคโนโลยี
คงไม่พ้นเรื่องความละเอียดในการพิมพ์ เช่น 1440 จุดต่อนิ้ว ปัจจุบันถือว่า จำนวน DPI สูง ๆ ไม่ถือว่าจะมีคุณภาพการพิมพ์สูง แต่ต้องดูในเรื่องของคุณภาพงานพิมพ์มากกว่า เพราะยิ่ง DPI สูง เวลาพิมพ์จะเปลืองหมึกมากและพิมพ์ช้าลงด้วย

      
2. หัวพ่นหมึก 
Printer ที่มีหัวพ่นอยู่ที่ตลับหมึก ราคาจะสูงกว่า แต่ทุกครั้งที่หมึกหมด จุะต้องเปลี่ยนทั้งตลับทำให้ไม่ค่อยมีปัญหาเครื่องหมึกอุดตัน

      
3. ตลับหมึก
บางรุ่น จะแยกออกจากหัวพ่นหมึก แต่ถ้าจะให้ดีควรสามารถแยกตลับสีแต่ละสีจากกันได้ เวลาสีบางสีหมด จะได้ไม่ต้องเปลี่ยนทั้งหมด

      
4. หน่วยความจำ 
Printer ที่มีหน่วยความจำมาก ย่อมทำให้การพิมพ์เร็วขึ้น (หน่วยความจำบนคอมฯ กับ Printer จะไม่เหมือนกัน)

      
5. ความเร็วในการพิมพ์ต่อนาที 
ขึ้นกับงานที่ต้องการ เช่น สี 4 แผ่น ขาวดำ 8 แผ่นเป็นต้น (โดยปกติการพิมพ์สีจะช้ากว่าการพิมพ์ขาวดำ)

      
6. การเชื่อมต่อ
เดิมการต่อ Printer กับคอมฯ ก็ไม่พ้น LPT part แต่ปัจจุบัน USB port ก็เป็นทางเรื่องใหม่ที่น่าสนใจไม่น้อย เนื่องจากเป็น port ที่พิมพ์ด้วยความเร็วสูง

     
 7. ระบบป้อนกระดาษ 
ระบบป้อนกระดาษด้านหน้าจะดีกว่าป้อนกระดาษด้านบน เพราะโอกาสติดจะน้อยกว่า
เทคนิคการเลือกซื้อ
  1. โดยทั่วไปเครื่องพิมพ์ส่วนใหญ่ราคาไม่แพง แต่ตลับหมึกจะแพง แล้วแต่จะเลือก ?
  2. บริการเติมหมึก ปัจจุบันมีร้านค้าที่รับเติมหมึก Inkjet อยู่มากมาย ถือได้ว่าเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ
  3. สื่อที่จะใช้พิมพ์ inkjet บางรุ่นอาจไม่สามารถพิมพ์ซอง หรือแผ่นใสได้
  4. ตลับหมึก ควรเลือกหัวพ่นหมึกที่ติดกับตลับหมึก เพื่อลดปัญหาหมึกอุดตัน (ราคาจะแพงกว่าสักนิด)
  5. ความละเอียดของเครื่องพิมพ์ ควรตรวจสอบคุณสมบัติก่อนเลือกซื้อ เพื่อให้ตรงกับความต้องการของเรา

การเลือกซื้อเครื่องพรินเตอร์อย่างไรให้โดนใจคุณ
การเลือกซื้อเครื่องพรินเตอร์ไว้ใช้งานสักเครื่องหนึ่ง ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับการเลือกซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆ เลย เพียงแต่ผู้ซื้อควรจะมีความรู้เกี่ยวกับตัวสินค้าสักหน่อยเท่านั้น ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ในที่นี้อย่างเช่น การอ่านสเปกอย่างคร่าวๆ ของเครื่องพรินเตอร์ได้ สามารถอ่านแล้วทำความเข้าใจได้ว่า ความสามารถของสินค้าชนิดนั้นๆ สามารถทำอะไรด้มั่ง มีความละเอียดในการพิมพ์เท่าไร่? สามารถหยดน้ำหมึกได้เล็กที่สุดกี่พิโคลิตร? แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น การเลือกซื้อเครื่องพรินเตอร์ยังต้องคำนึงถึงในเรื่องของประสิทธิภาพในการทำงาน ราคาของเครื่องพรินเตอร์ งบประมาณที่จะซื้อ รวมไปจนถึงประสิทธิภาพของเครื่องพรินเตอร์ที่ซื้อมาใช้งานแล้ว คุ้มค่ากับเงินทองที่เสียไปหรือไม่ ถ้าทำอย่างนี้การเลือกซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ หรือการเลือกซื้อเครื่องพรินเตอร์สำหรับผู้ใช้หลายๆ ท่านก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ยากแล้วครับ
มาทำความรู้จักกันก่อนดีกว่าครับว่า เครื่องพรินเตอร์ที่มีขาย หรือใช้งานกันในปัจจุบันนี้มีเครื่องพรินเอร์แบบใดกันบ้าง เราสามารถแบ่งเครื่องพรินเตอร์ได้เป็น
1) เครื่องดอตเมตริกซ์พรินเตอร์ (Dotmatirx Printer)
2) เครื่องฟิล์มพรินเตอร์ (Film Printer)
3) เครื่องอิงค์เจ็ตพรินเตอร์ (Inkjet Printer)
4) เครื่องมินิพรินเตอร์ (Mini Printer)
5) เครื่องเลเซอร์พรินเตอร์ (Laser Printer)
6) เครื่องไลน์พริเตอร์ (Line Printer)
7) เครื่องมัลตฟังก์ชัน (Multifunction Printer) หรือ All-In-One (AIO)
8) เครื่องพล็อตเตอร์ (Plotter)
  ในการเลือกซื้อพรินเตอร์ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบหลายๆอย่างประกอบกัน ซึ่งในแต่ละองค์ประกอบนั้นมีความสำคัญไม่แพ้กัน ในการเลือกซื้อ ตรงนี้จะทำให้ผู้ใช้ได้รับประโยชน์สูงสุด คือเกิดความคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปแต่ที่แน่ ๆ สิ่งแรกควรพิจารณาจากการใช้งานเป็นหลักว่า ผู้ใช้ต้องการพรินเตอร์ ไปใช้งานประเภทใดเป็นส่วนใหญ่ เพราะพรินเตอร์แต่ละรุ่นเน้นการทำงานที่ต่างกันในตลาดเมืองไทยของเรามีพรินเตอร์ให้เลือกซื้ออยู่มากมายหลายรุ่น หลาก หลายประเภทโดยแต่ละรุ่นก็มีความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของราคา การใช้งาน ส่วนในประเภทของพรินเตอร์นั้นที่เห็นอย่างชัดเจนในปัจจุบัน มีอยู่ ด้วยกันถึง 4 ประเภท เนื่องจากพรินเตอร์มีการพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ มีการเพิ่มเติมเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้น การใช้งานมีความ หลากหลายมากขึ้นจนตอนนี้เครื่องพรินเตอร์ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องพิมพ์ธรรมดาไปเสียแล้ว เช่น ในบ้างรุ่นสามารถพิมพ์งานด้านกราฟิกที่มีความละเอียดสูงๆ พิมพ์ภาพถ่ายได้แล้ว จากประเภทของพรินเตอร์ที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้วนั้นแบ่งได้ดังนี้ครับ
เครื่องดอตเมตริกซ์พรินเตอร์ (Dotmatix Printer) เหมาะสมสำหรับห้างร้าน ผู้ประกอบธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางหรือผู้ใช้ที่ต้องการเครื่องพรินเตอร์ที่สามารถ ทำสำเนาได้                 เครื่องดอตเมตริกซ์พรินเตอร์ (Dotmatix Printer) นี้การพิมพ์โดยใช้หัวเข็มครับ ไม่ได้ใช้เป็นหัวพ่นจึงไม่จำเป็นจะต้องซื้อน้ำหมึกแต่ต้องซื้อผ้าหมึกแทนคล้ายๆ กับ เครื่องพิมพ์ดีดแบบปกติทั่วไป ทำให้ผู้ใช้ประหยัดเงินค่าซื้อน้ำหมึกไปได้มาก เนื่องจากผ้าหมึกมีอายุการใช้งานสูงกว่าใช้น้ำหมึกมากหลายเท่า เหมาะกับการใช้ งานในสำนักงานที่ต้องการใช้พิมพ์เพียงเอกสารแบบปกติ อย่างพวกใบเสร็จต่างๆ และงานพิมพ์ทั่วไป ในด้านการใช้งานตัวเครื่องมีความยืดหยุ่นสูง สามารถใช้ ได้กับกระดาษหลายประเภท ในการเลือกซื้อพรินเตอร์ประเภทนี้เรื่องความละเอียดในการพิมพ์เรามองข้ามไปได้เลยครับเพราะปกติของพรินเตอร์ Dotmatix ค่าความละเอียดสูงสุดแล้วอยู่ที่ 360x360 จุดต่อตารางนิ้วทั้งหมด (ที่มีจำหน่ายอยู่ในตลาดบ้านเราครับ) จำนวนหัวเข็มของเครื่องพิมพ์จะมีตั้งแต่ 24 หัวเข็ม 32 หัวเข็ม ยิ่งจำนวนหัวเข็มมากก็จะทำให้งานที่พิมพ์ออกมามีความละเอียดขึ้น ความเร็วในการพิมพ์ตัวอักษรมีตั้งแต่ 192 ต่อCPS, 240, 264, 300, 360, 375, 390, 400, 432, 450 จนถึง 504 ต่อCPS (CPS คือ ความเร็วในการพิมพ์ตัวอักษรต่อนิ้ว) เห็นได้ว่าเพียงความเร็วในการพิมพ์ตัวอักษรก็มีให้เลือก มากแล้ว ส่วนนี้คงอยู่ที่ความพอใจของผู้ซื้อเองว่าจะเลือกความเร็วที่เท่าไรค่าความต่างในการพิมพ์ไม่ได้ต่างกันมากเพียงไม่กี่วินาทีต่อแผ่น
Fujisu DL3800Pro
Nec P2000
Oki
Microline 390 Turbo
Panasonic KX-P1131
ต่อมาเป็นจำนวนที่สำเนาที่เครื่องสามารถทำได้ เช่น 1 ต้นฉบับ 3 สำเนา, 1 ต้นฉบับ 4 สำเนา ไปจนถึง 1 ต้นฉบับ 7 สำเนา ส่วนนี้แล้วแต่ความ ต้องการของผู้ใช้ครับ กระดาษก็เป็นเรื่องสำคัญครับแต่ในพรินเตอร์ Dotmatrix แล้วจะใช้กระดาษต่อเนื่องที่เป็นทำเป็นสำเนา ความกว้างของกระดาษ ก็เป็น ส่วนหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงครับ ถ้าเครื่องพิมพ์มีความกว้างของกระดาษไม่พอ ก็ทำให้ไม่สามารถพิมพ์งานได้ครับ ในส่วนอื่นๆ ก็เหมือนๆกันไม่ได้แตกต่างกันมาก ช่องต่อพอร์ต เป็น Parallel โดยส่วนใหญ่ มีไม่กี่รุ่นที่ต่อพอร์ต USB ได้ด้วย ที่น่าพิจารณาก็อยู่ตรงที่หน่วยความจำบัฟเฟอร์ยิ่งมาก ยิ่งดีครับเพราะเครื่องจะ มีความยืดหยุ่นในการทำงานสูงขึ้น และเรื่องของราคาเครื่องพรินเตอร์ประเภทนี้มีราคาค่อนข้างสูงอยู่พอสมควร แต่ถ้าคิดถึงโดยรวมแล้วคุ้มครับเนื่องจากผู้ใช้ ไม่ต้องเสียเวลา ซื้อน้ำหมึกมาเติมอยู่บ่อยๆเหมือนเครื่องพรินเตอร์ประเภทอื่นส่วนราคาผ้าหมึกเวลาซื้อเปลื่ยนก็ไม่แพงมาก ถ้าหากกำลังมองหาพรินเตอร์ประเภท นี้อยู่ก็คงต้องพิจารณาให้ดีนิดนึงนะครับ
เครื่องอิงค์เจ็ตพรินเตอร์ (Inkjet Printer) เหมาะสมสำหรับการใช้งานโดยรวม สามารถพิมพ์เอกสาร รูปภาพที่เป็นขาว-ดำ และสีได้ 

                 เครื่องอิงค์เจ็ตพรินเตอร์ (nkjet Printer) เป็นประเภทที่เหมาะสมกับผู้ใช้ทั่วไปทุกระดับตั้งแต่นักเรียน นักศึกษา ไปจนถึงสำนักงานใหญ่ ๆ และกำลังได้รับความ นิยมมากที่สุดในตลาดบ้านเราขณะนี้ เนื่องจากมีราคาตั้งแต่ไม่กี่พันบาท ไปจนถึงหลักหมื่นเลยที่เดียวสำหรับการเลือกซื้อเครื่องประเภทนี้จำเป็นต้องดูอะไร หลายๆอย่างประกอบกัน เหมือนเดิมครับว่าต้องดูการใช้งานของผู้ใช้เป็นหลักว่าต้องการใช้เครื่องพรินเตอร์ประเภทนี้เน้นในด้านใดเป็นหลัก อันนี้ก็สืบเนื่องมา จากว่าเครื่องพรินเตอร์ประเภทนี้มีขายในตลาดบ้านเรามากมายหลายรุ่นจริงๆ ในแต่ละรุ่นมีการทำงานที่แตกต่างกันหลายอย่างเลยทีเดียว คือมีจุดเด่นที่แตกต่าง กันนั้นเอง พรินเตอร์ประเภทInkjet พิมพ์งานโดยใช้ตลับน้ำหมึก เวลาเลือกซื้อต้องดูด้วยว่ารุ่นนี้ใช้ตลับน้ำหมึกแบบไหนรุ่นอะไร ตลับสีและดำ ราคาเท่าไรแต่ ละแบรนด์ราคาตลับหมึกถูกบ้างแพงบ้างต่างกันไป อย่างบางรุ่นราคาพรินเตอร์ไม่แพงมากแต่ราคาตลับเป็นพันบาทก็มี ตรงส่วนนี้ต้องดูให้ละเอียดครับ 

                 เรื่องของคุณภาพของน้ำหมึกมีขอแตกต่างกันบ้างเล็กน้อยบ้างรุ่นตลับสีแบบรวมไม่ได้แยกเป็นสี ตรงจุดนี้แบบรวมจะมีข้อเสียเล็กน้อยที่ถ้าตลับสีแบบ รวมสีหนึ่งสีใดหมดต้องเปลี่ยนทั้งตลับเลย ไม่เหมือนกับแบบแยกสีที่ถ้าสีใดหมดก็เปลื่ยนเพียงสีนั้นสีเดียวได้แต่ปัจจุบัน รุ่นใหม่ๆที่ใช้ตลับหมึกสีแบบรวมมี เทคโนโลยีใหม่ที่ทำให้น้ำหมึกสีหมดแบบพอๆกัน เพื่อนำมาแก้ปัญหาตรงจุดนี้ หากผู้ใช้เน้นทำงานกราฟิกเป็นส่วนใหญ่ขอแนะนำให้ใช้พรินเตอร์ที่มีตลับหมึกสี แยกจะดีกว่าเพราะจะประหยัดกว่ามากครับ ส่วนผู้ใช้ที่เน้นการทำงานปกติ มีพิมพ์ภาพบ้างใช้แบบตลับหมึกสีรวมก็พอแล้วครับ
Canon PIXMA iP90
Epson Stylus Photo R800
HP Photosmart 8150
Lexmark P915
     ต่อไปก็เป็นค่าความละเอียดของตัวเครื่องให้เลือกที่ความเหมาะสมดูไปแล้ว เมื่อเทียบกับในปัจจุบันคงต้องเลือกค่าความละเอียดไม่ต่ำกว่า 1200x1200 จุดต่อตารางนิ้ว สำหรับผู้ที่ใช้งานปกติ ตรงนี้ไม่ใช่ว่าความละเอียดต่ำกว่านี้จะไม่ดีนะครับ แต่เพื่อการทำงานในอนาคตและราคาก็แตกต่างกัน เล็กน้อย สำหรับผู้ที่ทำงานกราฟิก ออกแบบน่าจะเลือกความละเอียดประมาณ 4,800 x 1,200 จุดต่อตารางนิ้ว ขนาดช่องใส่กระดาษก็ปกติ A4 หากมีทุนหน่อยก็ เลือกเครื่องที่ใส่กระดาษขนาด A3 ได้ไปเลย ส่วนช่องพอร์ตจะมีตั้งแต่ Parallel, USB 1.1/2.0 ให้เลือกที่เป็น USB ครับเพราะการรับส่งข้อมูลจะเร็วกว่า แบบParallel เรื่องราคาอยู่ที่ความพอใจเลยครับ ราคาถูกประสิทธิภาพการทำงานต่างก็ลดลงเช่นกัน ถ้าต้องการเครื่องที่มีประสิทธิภาพ ในการทำงานสูงก็ลง ทุนหน่อยนะครับ สำปัจจุบันนี้เครื่องพรินเตอร์แบบ Inkjet สามารถจะพิมพ์รูปภาพจากกล้องดิจิตอลโดยตรงได้โดยที่ไม่ต้องเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือ สามารถอ่านสื่อบันทึกข้อมูลแบบ Memory Stick, MulitMedia Card(MMC), Secure Disk(SD), CompactFlash (CF) และ XD เหมาะสำหรับ หรับผู้ใช้ที่มีกล้องดิจิตอลอยู่แล้วต้องการเครื่องพรินเตอร์ที่สามารถพิมพ์ภาพได้ บางรุ่นก็มีหน้าจอบนตัวเครื่องทำให้สามารถเลือกดูภาพจากตัวเครื่องพรินเตอร์ ได้ก่อนที่จะพิมพ์ บางรุ่นก็ไม่มีแต่ก็สามารถดูภาพที่ตัวกล้องแทนได้ ในส่วนกระดาษที่ใช้ถ้าเป็นการพิมพ์เอกสารธรรมดาประเภท Word, Excel ควรจะใช้ กระดาษที่ใช้ควรจะเป็นกระดาษที่มีความหนา 80 แกรมขึ้นไปครับ เพราะความหนาของกระดาษจะช่วยให้ตัวอักษรที่พิมพ์ออกมาอีกความคมชัดด้วย ถ้าเป็นการ พิมพ์รูปภาพ ควรจะใช้กระดาษโฟโต้เหมาะที่สุดครับ คุณภาพในด้านสีและความละเอียดที่ออกมาจะทำให้สามารถแสดงสีได้ไม่ผิดเพี้ยนมากเกินไป
พอร์ตการเชื่อมแบบ PicBridge สำหรับเชื่อมต่อโดยตรงกับกล้องดิจิตอล และสั่งพิมพ์รูปภาพได้ทันที
Card Reader ที่ติดตั้งมาบนตัวเครื่องพรินเตอร์ ทำให้เพิ่มความสะดวกในการทำงานยิ่งขึ้น
เครื่องอิงค์เจ็ตพรินเตอร์บางรุ่นยังสามารถพิมพ์รูปภาพลงบนแผ่น CD หรือ DVD ได้อีกด้วย
  
เครื่องอิงค์เจ็ตพรินเตอร์ในปัจจุบันมีความสามารถที่แตกกต่างกันมากมาย ทางด้านผู้ผลิตที่คิดค้น และค้นคว้าจุดเด่น หรือข้อดีของแต่ละผลิตภัณฑ์ขึ้นมาแข่งขันกัน ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการอ่านสื่อบันทึกข้อมุลต่างๆ ได้ เช่น Compact Flash, MultiMedia Card, Secure Disk, XD Card, Memory Stick ในแบบต่างๆ และการติดตั้งพอร์ตเชื่อมต่อแบบ PicBridge หรือบางผู้ผลิตเรียกว่า Print Direct ก็ยังสามารถช่วยให้การใช้งานนั้นง่ายยิ่งขึ้น เพียงแต่ผู้ใช้มีกล้องดิจิตอลที่รองรับเทคโนโลยี PicBridge และเครื่องพรินเตอร์ที่รองรับเทคโนโลยีนี้เหมือนกัน เท่านี้ก็สามารถใช้งานสั่งพิมพ์รูปภาพผ่านทางกล้องดิจิตอลได้แล้วครับ ในส่วนความสามารถในการพิมพ์รูปภาพหรือข้อความลงบนแผ่น CD หรือ DVD นั้นกำลังเริ่มนิยมขึ้นเรื่อยๆ ครับ หลายๆ ผู้ผลิตก็ทยอยออกสินค้ารุ่นใหม่ๆ ของตนที่มีความสามารถในการพิมพ์รูปภาพ หรือข้อความลงบนแผ่น CD หรือ DVD ได้ออกมา สำหรับโปรแกรมที่ใช้งานกับเครื่องอิงค์เจ็ตพรินเตอร์นั้น แต่ละผู้ผลิตก็ได้พัฒนา Software ของตนขึ้นมาเพื่อรองรับการทำงาน และประสานการทำงานระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้ และเครื่องพรินเตอร์ ให้สามรถใช้งานได้อย่างง่ายดาย
เครื่องเลเซอร์พรินเตอร์ (Laser Printer) เหมาะสมกับการใช้งานร่วมกันในผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการความละเอียด สำนักงานขนาดเล็ก ไปจนถึงขนาดใหญ่ที่มี งานเอกสารปริมาณที่มาก
                 เครื่องเลเซอร์พรินเตอร์ (Laser Printer) นับว่ามีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลยในตลาดบ้านเราเมื่อเทียบกับการทำงานทั่วไปของพรินเตอร์ประเภทนี้กับ เครื่องพรินเตอร์ประเภท Inkjet จุดแตกต่างที่เห็นกันอย่างชัดเจนคงต้องเป็นในเรื่องของปริมาณการพิมพ์ที่พรินเตอร์ประเภทเลเซอร์ สามารถพิมพ์ได้จำนวน มากกว่า ใส่กระดาษได้มาก รวดเร็วกว่าในการพิมพ์ในจำนวนมากๆ มีความคมชัดสูงทั้งพิมพ์สี ขาวดำและยังสามารถแชร์การทำงานกับผู้ใช้หลายคนได้อย่างมี ประสิทธิภาพมากกว่าประเภทอื่น ในปัจจุบันนี้เครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์พรินเตอร์ได้มีการนำออกมาวางจำหน่ายกันมากมายหลายรุ่น โดยในแต่ละรุ่นก็จะมี ประสิทธิภาพและฟังก์ชันในการทำงานที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้ซื้อสามารถเลือกซื้อเลเซอร์พรินเตอร์ที่เหมาะสมกับลักษณะงานและปริมาณงานในองค์กร ของตนให้มากที่สุด ส่วนในเรื่องของราคานั้นอาจจะมีราคาสูงนิดหน่อย แต่ก็คุ้มค่าครับ กับประสิทธิภาพที่ดีกว่ามีความยืดหยุ่นในการทำงานสูง ส่วนในการเลือก ซื้อควรดูที่ฟังก์ชันการทำงานเป็นหลักว่าเหมาะสมกับงานของเราหรือเปล่า ถ้ามีฟังก์ชันมากก็จะทำให้ผู้ใช้สะดวกมากขึ้น สำหรับในการทำงานร่วมกันหลายคน
เครื่องเลเซอร์พรินเตอร์ยังสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ เครื่องเลเซอร์พรินเตอร์ขาว-ดำ (Monochome Laser Printer) และเครื่องเลเซอร์พรินเตอร์สี (Color Laser Printer)
Brother HL-5150D
Epson AcuLaser C3000N
HP Color LaserJet 2550L
Fuji Xerox DocuPrint C525A
Konica Minolta PagePro 1300W
 ในด้านความละเอียดของตัวเครื่องก็ดูที่ความเหมาะสมกับงาน แนะนำว่าพรินเตอร์เลเซอร์เหมาะมากครับสำหรับการใช้งานในสำนักงาน ดูจะไม่ เหมาะเท่าไรนักถ้าจะซื้อมาใช้งานส่วนตัวเพราะโดยส่วนใหญ่แล้วเครื่องประเภทนี้เน้นสนับสนุนระบบเน็ทเวิร์กเป็นหลักครับ Laser พรินเตอร์ก็ยังไม่ทั้งขาว-ดำ และสี ในด้านความละเอียดของเครื่อง Laser มีความละเอียดทั้งแต่ 600 x 600 จุดต่อตารางนิ้ว ไปจนถึง 1,200 x 1,200 จุดต่อตารางนิ้ว ความเร็วในการ พิมพ์ก็มีส่วนสำคัญครับ ความเร็วในการพิมพ์ของเครื่อง Laser ก็สามารถพิมพ์ในโหมดขาว - ดำได้ตั้งแต่ 10 แผ่นต่อนาทีขึ้นไป ส่วนโหมดสีตั้งแต่ 6 แผ่นต่อ นาทีขึ้นไป ต่อมาก็มาดูที่หน่วยความจำของเครื่องพรินเตอร์ ส่วนใหญ่ใน Laser พรินเตอร์จะติดตั้งหน่วยความจำตั้งแต่ 8 MB, 16 MB, 32 MB ไปจนถึง 96 MB แต่ก็สามารถเพิ่มเติมได้อีก ยิ่งมีหน่วยความจำมากเท่าไหร่ก็จะทำให้เครื่องพิมพ์สามารถประมวลผล และรับงานในปริมาณที่มาก ล้วพิมพ์งานออกมาได้ รวดเร็วขึ้น ลำดับต่อมาเป็นการเชื่อมต่อมีตั้งแต่ Parallel, USB 1.1/2.0, Ethernet ในส่วนนี้แล้วแต่ผู้ใช้ครับ แต่ขอแนะนำให้เลือกใช้ที่เป็นการเชื่อมต่อแบบ USB 1.1/2.0 ดีกว่าครับ เพราะจะทำให้การส่งข้อมูลมีความรวดเร็วกว่าแบบอื่น และถ้าต้องการใช้งานในระบบเครือข่าย (LAN) ขั้นก็ควรจะมีพอร์ตเชื่อมต่อแบบ Ethernet 10/100 Base-T/TX ด้วยครับ แต่เราจะใช้การเชื่อมต่อแบบ USB 1.1/2.0 เพื่อให้เครื่องเลเซอร์พรินเตอร์ของเราเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหึง แล้วทำงานแชร์ทรัพยากรเครื่อง ให้เครื่องลูกข่าย (Client) ให้สามารถใช้งานเครื่องพรินเตอร์ตัวนั้นก็ได้ครับ ซึ่งมีข้อเสียคือในการทำงานจำเป็นทีจะต้องเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับเครื่องพรินเตอร์ไว้ตลอดเวลา จึงจะสามารถสั่งพิมพ์งานได้ แต่ถ้าเป็นการเชื่อมต่อแบบEthernet ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องนำเครื่องพรินเตอร์มาเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่สามารถนำเครื่องพรินเตอร์เครื่องที่มีมาตรฐานการเชื่อมต่อแบบ Ethernet นั้นไปเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายด้วยสาย LAN ได้ทันที เสมือนการทำงานว่าเครื่องพรินเตอร์เครื่องนั้นเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งนั่นเองครับ ในการทำงานก็สามารถสั่งพิมพ์งานได้ทันที สะดวกและรวดเร็วประหยัดพลังงานมากกว่าแบบแรกครับ

                 โทนเนอร์ก็มีส่วนสำคัญครับ ถ้าราคาโทนเนอร์แพงก็ไม่คุ้มค่าที่จะใช้งานต้องระมัดระวังในส่วนนี้ด้วย กระดาษที่ใช้กับเครื่อง Laser สามารถใช้ กระดาษขนาด A4 บางรุ่นก็สามารถพิมพ์กระดาษขนาด A3 ได้ ส่วนถาดใส่กระดาษใน Laser บางรุ่นสามารถเพิ่มถาดกระดาษได้ เหมาะสำหรับงานที่มี ปริมาณเอกสารมาก ไม่ต้องกังวลว่าปริมาณกระดาษจะพอไหม ในส่วนการใช้งาน Laser พรินเตอร์แบบขาว- ดำเหมาะสำหรับผู้ใช้ที่เน้นงานเอกสารเป็นหลัก ไม่ต้องการพิมพ์รูปภาพ หรือข้อความที่เป็นสี ทำให้ได้ตัวอักษรที่คมชัดกว่าเครื่องพรินเตอร์ Inkjet หลายเท่า ส่วน Laser พรินเตอร์แบบสีเหมาะสำหรับผู้ใช้ ที่เน้นงานด้านรูปภาพ แต่ก็มีงานด้านเอกสารด้วย
เครื่องมัลติฟังก์ชัน (Multifunction) หรือ All-In-One (AIO) น้องใหม่ที่ออกมาพร้อมอุปกรณ์ทำงานที่ครบเครื่องทั้ง พิมพ์ สแกน ก๊อปปี้ และส่งแฟกซ์ คุ้มค่ากับราคาที่น่าลอง
                ก่อนอื่นเรามาเริ่มทำความรู้จักกับอุปกรณ์นี้กันก่อน สำหรับเครื่องมัลติฟังก์ชันหรือออลอินวันจะเป็นการนำเอาความสามารถและฟังก์ชันการทำงานของ อุปกรณ์ต่อพ่วงหลัก ๆ มารวมเข้าไว้ด้วยกันอย่างครบชุด ซึ่งประกอบไปด้วย เครื่องพรินเตอร์ เครื่องสแกนเนอร์ เครื่องถ่ายเอกสาร และเครื่องแฟกซ์ แต่สำหรับ เครื่องมัลติฟังก์ชั่นในบางรุ่นอาจจะไม่ได้รวมเอาเครื่องแฟกซ์มาด้วยก็ได้ แต่หลัก ๆ อย่างไรก็สามารถพิมพ์งาน สแกน และถ่ายเอกสารได้ครับ
                ส่วนการทำงานของเครื่องมัลติฟังก์ชันมีการพัฒนาในเรื่องของการทำงานให้มีการทำงานร่วมกันได้อย่างเต็มที่มากขึ้น อย่างที่เราจะเห็นได้จาก ฟังก์ชันในการถ่ายเอกสารนั่นเองซึ่งจะเป็นการประสานงานในการทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องสแกนเนอร์กับพรินเตอร์ นอกจากนี้ยังได้มีการเพิ่มฟังก์ชัน ในการสั่งงานบางอย่างที่จะช่วยให้การถ่ายเอกสารทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้นด้วย อย่างเช่น การย่อหรือขยายเอกสาร การทำสำเนา หรือจะเป็นการปรับ เลือกโหมดการถ่ายเอกสารสีหรือการถ่ายเอกสารขาว-ดำได้ เป็นต้น
                ส่วนเครื่องมัลติฟังก์ชันที่มีแฟกซ์ในตัวเราจะสังเกตได้จากแผงควบคุมที่จะมีปุ่มสำหรับกดเลขหมายโทรศัพท์ได้ครับ สำหรับกลุ่มผู้ใช้ที่เหมาะสำหรับ เครื่องมัลติฟังก์ชันนี้จะมีทั้ง กลุ่มธุรกิจองค์กรทั้งขนาดเล็กและขนาดกลาง โฮมออฟฟิศ และกลุ่มผู้ใช้งานตามบ้าน ซึ่งสำหรับกลุ่มผู้ใช้งานตามบ้านนั้นในตอนนี้ กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะทางผู้ผลิตทั้งหลายต่างก็ได้ส่งเครื่องมัลติฟังก์ชันราคาประหยัดลงมาทำตลาดกัน ซึ่งจะมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ สี่พันกว่าบาทเท่านั้น และเมื่อลองเทียบกันกับการซื้อพรินเตอร์และสแกนเนอร์แบบแยกชิ้นแล้ว จะเห็นได้ว่ามีราคาต่างกันไม่มาก แต่เมื่อดูถึงจุดเด่นของ มัลติ ฟังก์ชันที่ประหยัดพื้นที่ในการติดตั้งกว่า และสามารถถ่ายเอกสารทั้งสีทั้งขาว-ดำได้แล้วถือว่าเป็นตัวเลือกใหม่ที่น่าสนใจทีเดียว
Brother MFC-620CN
Canon PIXMA IP780
Epson Stylus CX6500
HP Officejet 6210
Lexmark X7170
   ในการเลือกซื้อเครื่องมัลติฟังก์ชันเราจะอาศัยหลักการเลือกซื้อแบบแยกชิ้นอาจจะไม่ได้ เพราะในการเลือกซื้อแบบแยกชิ้น อย่างการซื้อพรินเตอร์สัก เครื่องเราอาจจะพิจารณาจากความละเอียดในการพิมพ์เป็นอันดับต้น ๆ ก็ได้ แต่สำหรับการซื้อมัลติฟังก์ชันนั้นต่างกันเนื่องจากมัลติฟังก์ชันเป็นอุปกรณ์แบบ รวมชิ้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราคาดหวังว่าในการพิมพ ์ต้องมีความละเอียดเท่านี้ สแกนเนอร์ต้องสแกนงานได้ที่ความละเอียดเท่านี้นั้นเป็นเรื่องที่กำหนดได้ยาก ถ้าให้ดีเราควรเลือกซื้อตามความต้องการและความเหมาะสมในการใช้งานเป็นหลักดีกว่า
                อย่างเช่นถ้าที่ออฟฟิศของคุณมีเครื่องแฟกซ์อยู่แล้วก็ควรเลือกซื้อเครื่องมัลติฟังก์ชันแบบที่ไม่มีแฟกซ์ในตัวมาใช้ ซึ่งราคาส่วนต่างระหว่างรุ่นที่มี แฟกซ์กับไม่มีแฟกซ์จะต่างกันค่อนข้างมากอยู่ ส่วนในเรื่องของความละเอียดในการพิมพ์และการสแกนงานนั้น ในการเลือกซื้อให้ขึ้นอยู่กับลักษณะของงานด้วย อย่างถ้ามีความจำเป็นต้องมีการใช้งานเกี่ยวกับด้านกราฟิกบ้าง เครื่องมัลติฟังก์ชันที่มีความละเอียดสูง ๆ ก็จะเหมาะสมกับงานแบบนี้มากกว่า หรือถ้าหากมีการใช้ งานการพิมพ์หรือการสแกนที่ต้องการความละเอียดสูงจริง ๆ หรือมีการใช้งานเป็นประจำ อันนี้ควรจะเลือกซื้อแบบแยกชิ้นไปเลยดีกว่า เพราะในการใช้งานแบบ เฉพาะเจาะจงนั้นอุปกรณ์แบบแยกชิ้นย่อมทำงานได้ดีกว่าเสมอ เราต้องอย่าลืมว่า เครื่องมัลติฟังก์ชันนั้นถูกออกแบบมาเพื่อช่วยอำนวยความสะดวก และเพื่อเพิ่ม ความคล่องตัวในการทำงานให้มากขึ้นครับ แต่ถ้าจะเลือกซื้อมัลติฟังก์ชันความละเอียดมีตั้งแต่ 600 x 600 จุดต่อตารางนิ้ว, 1200 x 1200 ตารางนิ้ว ความ สามารถในการพิมพ์ขาว-ดำ 12 แผ่นต่อนาทีขึ้นไป พิมพ์สี 10 แผ่นต่อนาทีขึ้นไป ส่วนความละเอียดในการสแกนตั้งแต่ 600 x 1200 จุดต่อตารางนิ้ว ยิ่งมากยิ่ง สแกนได้ความละเอียดสูงครับ จำนวนบิตสีก็สำคัญส่วนใหญจะประมาณ 48 บิตสี บางรุ่นยังสามารถสแกนแล้วย่อ – ขยายได้ตั้งแต่ 25% - 400% ในส่วนนี้ เป็นส่วนเพิ่มเติมครับ หน่วยความจำในเครื่องมัลติฟังก์ชันก็สำคัญควรจะมีประมาณ 16 MB ขึ้นไปครับ จะได้ช่วยประมวลผลในการพิมพ์ได้เร็วขึ้น การเชื่อม ต่อสามารถเลือกได้ว่าต้องการแบบใด Parallel, USB 1.1/2.0, FireWire และ Ethernet ขอแนะนำให้ใช้ USB 1.1/2.0 เพราะราคาไม่สูงมากนัก แต่ถ้า ต้องการความเร็วในส่งข้อมูลที่สูงขึ้นแนะนำ FireWire ครับ ฟังก์ชันในการใช้งานในตอนนี้มัลติฟังก์ชันมีสามารถในการพิมพ์ภาพจากกล้องดิจิตอล หรือสื่อ บันทึกข้อมูล Memory Stick, MutiMedia Card(MMC), Secure Disk(SD), CompactFlash(CF) และ XD-Cart
สำหรับเครื่องมัลติฟังก์ชันในปัจจุบันนั้นมีการพัฒนาขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีในการพิมพ์ที่มีความละเอียดในการพิมพ์ที่สูงขึ้นสามารถพิมพ์รูปภาพได้สวยขึ้น ไม่แพ้เครื่องอิงค์เจ็ตพรินเตอร์, ในเรื่องของความสามารถในการพิมพ์ก็เช่นเดียวกันครับ เครื่องมัลติฟังก์ชันมีความเร็วในการพิมพ์ที่รวดเร็วยิ่งขึ้น สามารถพิมพ์ได้ไวขึ้น, ซอฟต์แวร์ที่ใช้กับเครื่องมัลติฟังก์ชันก็มีความง่ายต่อการใช้งานยิ่งขึ้น โดยจะมีโปรแกรมที่ช่วยเหลือในการพิมพ์ให้เป็นเรื่องง่ายขึ้ ไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์งาน การสแกนรูปภาพ หรือการทำสำเนา และรวมทั้งการรับ-ส่งแฟกซ์ โดยที่การทำงานต่างๆ เหล่านี้สามารถควบคุมการทำงานได้ทั้งจากเครื่องคอมพิวเตอร์โดยผ่านทางซอฟต์แวร์ควบคุม หรือว่าจะเป็นการสั่งงานผ่านทางหน้าจอควบคุม และปุ่มควบคุมทางด้านบนของตัวเครื่อง, การทำงานของเครื่องมัลติฟังก์ชันก็มีมีความสามารถอื่นๆ เพิ่มเติมอีก ไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์เอกสาร 2 หน้าอัตโนมัติโดยที่ไม่จำเป็นต้องซื้ออุปกรณ์เพิ่มเติม เพราะได้ติดตั้งไว้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานกับตัวเครื่องแล้ว ซึ่งบางรุ่นก็ยังได้เพิ่มเติมความสามารถในการพิมพ์รูปภาพ หรือข้อความลงบนแผ่น CD หรือ DVD อีกด้วย

ส่วนประกอบต่าง ๆ ในคอมพิวเตอร์
1. CPU เป็นหน่วยประมวลผลกลาง ย่อมาจากคำว่า Central Processing Unit เป็นส่วนที่ทำหน้าที่คำนวณและประมวลผลข้อมูล ซึ่งมีชิป (Chip) เป็นอุปกรณ์สำคัญและมีแผ่นวงจร หน่วยความจำเป็นอุปกรณ์ประกอบ ปัจจุบันนิยมใช้กันหลายเบอร์ ได้แก่ 386, 486 หรือ ปัจจุบันใช้ Pentium ถือว่าเป็นพัฒนาใหม่ล่าสุดและเป็นที่นิยมใช้กันมาก
   
2. Monitor (จอแสดงผล) เป็นอุปกรณ์คล้ายจอทีวี เป็นหน่วยแสดงผลข้อมูล Input หรือ Output ใช้สำหรับแสดงข้อความหรือกราฟฟิกตามความต้องการของโปรแกรม เพื่อให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์สามารถดูผลลัพธ์จากการประมวลผลได้ จอแสดงผล มี 2 ชนิด คือ
        1. จอภาพแบบสีเดียว (Monochrome Display) เป็นจอภาพซึ่งแสดงผลได้สีเดียว โดยมากที่ใช้สีที่ใช้สำหรับจอชนิดนี้ คือ สีเขียวและสีเทา โดยมากจะเป็นสีเขียว กล่าวคืออักษรที่ปรากฏบนจอภาพเป็นสีเขียว โดยมีพื้นรอบ ๆ หรือพื้นหลัง (Background) เป็นสีดำ จอชนิดนี้จะมีราคาถูกกว่าจอแสดงผลสี หมาะสำหรับพิมพ์ข้อความ เช่น งานประมวลผล งานฐานข้อมูล แต่ไม่เหมาะกับงานกราฟฟิก
        2. จอภาพแสดงสี (Color Display) หรือที่เรียกจอแบบ VGA หรือ Video Graphic Array แสดงสีได้สูงสุด 144 สี ในปัจจุบันได้พัฒนาจนสามารถแสดงสีได้ถึง 16 ล้านสี มีความละเอียดของจอภาพ 640 * 480 จุด ภาพที่ได้จะเละเอียดมากน้อยขึ้นอยู่กับความละเอียดของจอภาพ
ความละเอียดของจอภาพ (Screen Resolution)
สามารถดูได้จากความชัดเจนของข้อความ และรูปภาพทางกราฟฟิกที่ปรากฏบนจอภาพ ความละเอียดของจอภาพขึ้นอยู่กับจำนวนจุดของการกำเนิดภาพบนจอภาพ จุดต่าง ๆ นี้เรียกว่า Pixels เช่น ความละเอียดของจอภาพ 640*200 Pixels หมายความว่า บนจอภาพจะประกอบด้วยจุดต่าง ๆ ทั้งหมด 128,000 จุดเมื่อตัวอักษรปรากฏบนจอภาพ เราจะแทนตำแหน่งของตัวอักษรบนจอภาพในรูปแบบของแถว (Row) และคอลัมน์ (Column) หน้าจอโดยทั่ว ๆ ไปจะมี 25 แถว 80 คอลัมน์
3. Keyboard (แป้นพิมพ์) เป็นอุปกรณ์สำหรับป้อนข้อมูลซึ่งอาจเป็นคำสั่งหรือโปรแกรมต่าง ๆ แบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ
  1. ส่วนที่เหมือนกับแป้นพิมพ์ดีดทั่วไป
  2. ส่วนที่เป็นตัวเลข และคีย์ลูกศรที่ใช้ในการเคลื่อนที่ของ Cursor
  3. ส่วนที่เป็น Function Key หรือ คีย์พิเศษ มี 12 ปุ่ม ( F1-F12 ) ใช้ในการทำหน้าที่พิเศษตามที่โปรแกรมต่าง ๆ กำหนด
  4. ส่วนที่เป็นคีย์ที่ใช้ทำหน้าที่เฉพาะอย่างตามชื่อคีย์ เช่น Insert, Home, Page Up, Page Down, Delete, End, Print Screen, Scroll Lock, Escape และ ปุ่มลูกศรตามทิศทางต่าง ๆ 4 ปุ่ม
4. Printer หรือ เครื่องพิมพ์ มี 4 แบบ ดังนี้
1. เครื่องพิมพ์แบบหัวเข็ม (dot matrix printer) หัวเข็มของเครื่องพิมพ์ อาจมี 9 หรือ 24 หัวเข็มทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความละเอียด ของงานพิมพ์ที่ผู้ใช้ต้องการ เครื่องพิมพ์ดังกล่าวนี้ เป็นรุ่นเก่า เหมาะสำหรับ งานพิมพ์ประเภท ตัวอักษร (text) แต่ก็สามารถพิมพ์แบบกราฟฟิก ได้ แต่ความเร็วในการพิมพ์ค่อนข้างต่ำ พิมพ์ได้ทั้ง กระดาษแบบต่อเนื่อง และกระดาษขนาด A4 ความเร็วในการพิมพ์ ประมาณ 150-300 ตัวอักษรต่อวินาที ( Characters Per Second หรือ CPS )
2. เครื่องพิมพ์แบบฉีดหมึก(Ink Jet) เป็นเครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก นิยมใช้ระบบมินิคอมพิวเตอร์และระบบเมนเฟรม ความละเอียดในการพิมพ์ ดีกว่าแบบแรก พิมพ์ภาพสีได้ แต่ค่าใช้จ่ายในการพิมพ์ค่อนข้างสูง ความเร็วในการพิมพ์ก็ไม่สูงนัก พิมพ์ ได้เฉพาะกระดาษเป็นแผ่น เช่น A4 หรือ A3 แต่พิมพ์กระดาษต่อเนื่องไม่ได้
 
Inkjet printer
3. เครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์ (Laser Printer) พิมพ์ได้ทั้งภาพสี และ ขาวดำ ความเร็วในการพิมพ์อาจมากกว่า 20 แผ่น ต่อนาที (Pages Per Minute หรือPPM ) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรุ่นของเครื่องพิมพ์ ค่าใช้จ่าย ต่อแผ่นต่ำกว่า เครื่องพิมพ์แบบฉีดหมึก พิมพ์กระดาษต่อเนื่องได้ นอกจากรุ่นที่ออกแบบมาเป็นกรณีพิเศษ 
4. เครื่องพิมพ์แบบจานหมุน (Daisy Wheel) เครื่องพิมพ์ชนิดนี้จะมีคุณภาพในการพิมพ์ดีกว่า คือ สวยงาม คมชัดกว่า แต่มีความเร็วช้ากว่าเครื่องพิมพ์แบบ Dot   Matrix โดยปกติความเร็วในการพิมพ์ไม่เกิน 100 ตัวอักษรต่อวินาที(CPS)
5. Mouse (เมาส์) เป็นอุปกรณ์ที่ติดต่อสื่อสารกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถใช้แทนการทำงานของเคอร์เซอร์ และแป้น Enter ของคีย์บอร์ด โดยการเลื่อนเมาส์ไปมาบนผิวหน้าของโต๊ะ ซึ่งจะมีผลให้ตัวชี้ตำแหน่งบนจอภาพเคลื่อนไปมาตามที่ผู้ใช้ต้องการ
6. UPS ย่อมาจาก Uninterrupt Power Supply เป็นอุปกรณ์ที่มีแบตเตอรี่ชนิดแห้งอยู่ภายใน ทำหน้าที่ควบคุมแรงดันไฟฟ้าและแรงดันกระแสไฟฟ้าให้อยู่คงที่เสมอ เมื่อเกิดกระแสไฟตกและจ่ายไฟสำรองให้เมื่อไฟฟ้าดับ

จัดทำโดย
นางสาว ฐิตินันท์ วรรณนาค

      เรื่อง   เซลล์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่
                                         
         นักวิทยาศาสตร์ชาว อิตาลี ชื่อ โวลตา เป็นคนแรกที่พบว่า ความต่างศักย์ไฟฟ้า เกิดขึ้นระหว่างโลหะต่างกัน 2 ชนิด   เมื่อจุ่มลงในของเหลวที่เหมาะสม  (อิเล็กโทรไลต์)  และจะเกิดไฟฟ้ากระแสตรงจากพลังงานเคมี   สิ่งประดิษฐ์นี้เรียกว่า  เซลล์ไฟฟ้า หรือ  เซลล์ไฟฟ้าเคมี  หรือ  เซลล์วอลตา  ความต่างศักย์ไฟฟ้า (เกิด
                จากการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในเซลล์)  เรียกว่า  แรงเคลื่อนไฟฟ้า  ขนาดของแรงเคลื่อนไฟฟ้าขึ้นอยู่กับโลหะที่ใช้แบตเตอรี่  ประกอบด้วยเซลล์ไฟฟ้าหลายเซลล์ต่อกัน     แถวโวลตา  (Voltaic  pile)   เป็นแบตเตอรี่ที่สร้างขึ้นรุ่นแรก  ประกอบด้วยแถวของแผ่นเงิน และสังกะสี   แยกออกจากกันด้วยกระดาษ หรือจุ่มในน้ำเกลือ   วิธีการนี้ก็คือการต่อเซลล์อย่างง่ายเข้าด้วยกัน
                                           

ลักษณะโครงสร้างภายในของแบตเตอรี่              


             เซลล์ไฟฟ้าอย่างง่าย (Simple  cell)  ประกอบด้วยแผ่นโลหะ 2 ชนิด (ปกติใช้ทองแดงและ สังกะสี)  จุ่มลงใน อิเล็กโทรไลต์ ที่เป็นกรดหรือเกลือเซลล์อย่างง่ายมีแรงเคลื่อนไฟฟ้าเป็นระยะสั้นๆ ก่อนที่จะ เกิด โพลาไรเซชั่น และกิริยาที่ขั้ว
                                                     

ภาพเซลล์ไฟฟ้าอย่างง่าย     

                                        
        โพลาไรเซชั่น (Polarization)  เป็นการเกิดฟองแก๊สไฮโดรเจนบนแผ่นทองแดงในเซลล์อย่างง่าย  ทำให้ แรงเคลื่อนไฟฟ้า ของเซลล์ลดลงเพราะฟองแก๊สเป็นฉนวนกั้นแผ่นขั้ว  และเนื่องจาก แรงเคลื่อนไฟฟ้าย้อนกลับ  โพลาไรเซชั่นถูกลดลงได้โดยใช้สารแก้  ซึ่งทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจนเกิดเป็นน้ำ
กิริยาที่ขั้ว  (Local  action)  
               เป็นการสร้างไฮโดรเจนที่ขั้ว สังกะสีในเซลล์อย่างง่าย  สารปนเปื้อน  (โลหะอื่นเพียงเล็กน้อย)  ในแผ่นสังกะสีทำให้เกิดเซลล์อย่างง่ายเล็กๆ   ซึ่งทำให้เกิดแก๊สไฮโดรเจน
               ในกระบวนการ โพลาไรเซชั่น นอกจากนั้นแก๊สไฮโดรเจนยังเกิดจากกรณีแผ่นสังกะสีละลายในกรด  (แม้ว่าเซลล์จะไม่ทำงาน)  เราสามารถป้องกันไม่ให้เกิดปฏิกิริยาที่ขั้วได้โดยการเคลือบแผ่นขั้วด้วย อะมัลกัม

                                                
แสดงกิริยาที่ขั้วของแบตเตอรรี่อย่างง่าย
                                               
          ความจุของเซลล์  (Capacity)  เป็นความสามารถที่เซลล์ไฟฟ้าจะให้กระแสไฟฟ้าได้นานวัดเป็นแอมแปร์ชั่วโมง    ตัวอย่าง  เช่น  เซลล์ไฟฟ้า 10 แอมแปร์ชั่วโมงสามารถให้กระแสไฟฟ้า 1 แอมแปร์ใน  10 ชั่วโมง
                                               
              เซลล์เลอคลังเช  (Leclanche  cell)  เป็นเซลล์ไฟฟ้าที่ถูกลดโพลาไรเซชั่น  โดยใช้แมงกานีสออกไซด์  (สารลดโพลาไรเซชั่น  ชนิดหนึ่ง)  ทั้งนี้เป็นการเคลื่อนย้ายไฮโดรเจนที่เกิดขึ้นออกไปอย่างช้า  และยังเคลื่อนย้ายไฮโดรเจนที่เหลือเมื่อเซลล์ไม่ถูกใช้  เซลล์ไฟฟ้่านี้มี แรงเคลื่อนไฟฟ้า 1.5 V
                                               
            เซลล์มาตรฐาน (Standard  cell)  เป็นเวลล์ไฟฟ้าที่ผลิตแรงเคลื่อนไฟฟ้าคงที่และเที่ยงตรง  มีใช้ในห้องปฏิบัติการ สามารถพกพาได้สะดวก  มีแรงเคลื่อนไฟฟ้า 1.5 V
                                               
            เซลล์ปฐมภูมิ  (Primary  cell)  เป็นเซลล์ืไฟฟ้าที่มีอายจำกัดเพราะสารเคมีภายในถูกใช้ไปและนำมาเปลี่ยนใหม่ไม่ได้โดยง่าย
                                               
               เซลล์ทุติยภูมิ (Secondary  cell)บางทีเรียกว่า หม้อสะสมไฟฟ้า สามารถเติมประจุไฟฟ้า  ได้โดยต่อกับแหล่งพลังงานไฟฟ้าอื่นเซลล์ทุติยภูมิที่สำคัญคือ หม้อสะสมไฟฟ้าชนิดตะกั่ว-กรดและเซลล์อัลคาไลน์
 
             เซลล์แห้ง  (Dty  cell)  เป็นเซลล์เลอคลังเชแบบหนึ่ง ซึ่งใช้้แอมมอเนียมคลอไรด์กิริยาที่ขั้วทำให้เซลล์แห้งเสื่อมสภาพไปช้าแต่ก็มีอายุใช้งานหลายปี

               เซลล์อัลคาไลน์  (Alkaline  cell)  เป็นเซลล์ทุติยภูมิ  ประกอบด้วยอิเล็กโทรไลต์ ที่เป็นสารละลายโปแตซ  ขั้วเป็นแผ่นทำด้วนิเกิลและสารประกอบ  แคดเมียมจึงเรียกว่า  เซลล์นิเกิลแคดเมียม
               หม้อสะสมไฟชนิดตะกัว-กรด  เป็นเซลล์ทุติยภูมิซึ่งประกอบด้วยกรดซัลฟิวริกเจือจางเป็นอิเล็กโทรไลต์ และขั้วเป็นแผ่นทำด้วยตะกั่วและสารประกอบของตะกั่วให้กระแสไฟฟ้าสูงเพราะมีความต้านทานภายในต่ำใช้ในรถยนต์สำหรับสตาร์ตเครื่องยนต์และให้แสงสว่าง
 

Create by  sudarat   Keawmaneewan  Classroom 5/2
Thaplaprachauthis  School   Province Uttradit


เรื่อง   แม่เหล็กไฟฟ้า
          
         กระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านเส้นลวดจะทำให้เกิดสนามแม่เหล็กรอบๆเส้นลวด  ลักษณะของสนามแม่เหล็กขึ้นอยู่กับรูปร่างของเส้นลวดและกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่าน สนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้นนี้ เขียนได้โดยวิธีเดียวกับสนามแม่เหล็กจาก แม่เหล็กถาวร  ผลที่เกิดขึ้นเรียกว่า  แม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งใช้สร้างแม่เหล็กที่มีกำลังสูง  และใช้สำหรับทำให้เกิดการเคลื่อนที่โดยกระแสไฟฟ้า
                                                         
แสดงการไหลของกระแสไฟฟ้า
                                             กฏว่ายน้ำของแอมแปร์  
         กล่าวว่า  ขั้วเหนือของเข็มทิศซึ่งวางอยู่ใกล้เส้นลวดที่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน  จะเบนไปทางมือซ้าย ของคนที่ว่ายน้ำไปในทิศทางที่กระแสไหล  โดยหันหน้าเข้าหาเส้นลวด
กฏว่ายน้ำของแอมแปร์

        หมายถึง  ขดลวดหลายๆขดที่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน  ทำได้โดยใช้เส้นลวดพันรอบวัตถุที่เป็นแกน  ตัวอย่างเช่น ขดลวดแบนและโซลินอยด์    เป็นขดลวดที่มีความยาวน้อยเมื่อเทียบกับเส้น ผ่านศูนย์กลาง เป็นขดลวดที่มีความยาวมากเมื่อเทียบกับเส้นผ่านศูย์กลางสนามแม่เหล็กที่เกิดจากโซลินอยด์คล้ายกับแท่งแม่เหล็ก  ตำแหน่งของขั้วขึ้นอยู่กับทิศของกระแสไฟฟ้า   เป็นวัตถุที่ใช้เป็นแกนของขดลวดเป็นสิ่งบอกความเข้มสนามแม่เหล็ก  สารแม่เหล็กชั่วคราว  หรือเหล็กอ่อนทำให้เกิดสนามแม่เหล็กที่มีความเข้มสูง  และนิยมใช้ทำแม่เหล็กไฟฟ้า
โซลินอยด์ และ สนามแม่เหล็กของโซลินอยด์
                                             
      กฏสกรูของแมกซ์เวลล์  กล่าวว่า ทิศของสนามแม่เหล็กรอบๆ  เส้นลวดที่มีกระแสไฟฟ้าไหล ผ่าน  จะอยู่ในทิศสกรูหมุน  เมื่อขันสกรูเข้าไปตามทิศของกระแสไฟฟ้า
                                                สกรูของแมกซ์เวลล์

                                            
        กฏมือขวา (Right-hand grip rule)  กล่าวว่า ทิศของสนามแม่เหล็กรอบเส้นลวดอยู่ในแนวนิ้วมือขวาที่กำรอบเส้นลวด  โดยที่นิ้วหัวแม่มือชี้ไปตามทิศของกระแสในเส้นลวด 
กฏมือขวาบอกการไหลของกระแสไฟฟ้าในสายไฟ

                                                     
        แม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnet)  เป็นโซลินอยด์ซึ่งมีแกนเป็นสารแม่เหล็กชั่วคราวทำให้ มีอำนาจแม่เหล็กหรือหมดอำนาจโดยเปิด-ปิดสวิตซ์  แม่เหล็กไฟฟ้าที่ใช้ทั่วไปถูกสร้างขึ้นให้ 2 ขั้วที่ต่างกัน
           อยู่ใกล้กันเพื่อให้ได้สนามแม่เหล็กความเข้มสูง  แม่เหล็กไฟฟ้ามีประโยชน์มากมาย ดังตัวอย่างข้างล่าง
                                                   
                                          
           ประโยชน์ของแม่เหล็กไฟฟ้า (Applications  of  electromagnets) แม่เหล็กไฟฟ้ามีประ โยชน์มากมาย  ใช้หลักการที่แม่เหล็กดูดแผ่นโลหะเมื่อว่างวงจรปิดซึ่งเป็นการเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลัง งานกล  เช่นพลังงานเสียง ออตไฟฟ้า (Applications  of  electromagnets)  เป็นอุปกรณ์ที่ทำให้เกิดเสียงจากกระแสตรง  แผ่นโลหะจะถูกดูดโดยแม่เหล็กไฟฟ้า  ทำให้จุดสัมผัสแยกออก  มีผลให้กระแสที่เข้ามายังแม่เหล็กไฟฟ้าหยุดไหล  ดังนั้นแผ่นโลหะจึงดีดกลับ  เกิดขึ้นเช่นนี้เรื่อยๆ มีผลให้แผ่นโลหะสั่นเกิดเสียงออตขึ้น  ใน กระดิ่งไฟฟ้ามีค้อนติดกับแผ่นโลหะใกล้กับกระดิ่งเมื่อแผ่นโลหะสั่นค้อนก็จะเคาะกระดิ่ง


          
         หูฟัง (Earpiece)  เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เปลี่ยนสัญญานไฟฟ้าเป็นคลื่อนเสียง ใช้แม่เหล็กถาวร   ดูดแผ่นไดอะแฟรม ความแรงของแรงดึงดูดเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลงกระแสไฟฟ้าในขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้า  แผ่นไดอะแฟรมจะสั่นทำให้เกิดเสียง


                                                          
           รีเลย์ (Relay)  เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เป็นสวิตซ์  ปิดวงจรโดยใช้แม่เหล็กไฟฟ้า  ใช้กระแสไฟฟ้าเพียงเล็กน้อยผ่านเข้าไปในขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้า  เพื่อเปิดสวิตซ์ให้กระแสไฟฟ้าปริมาณมากไหลใน อีกวงจรหนึ่ง

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น