วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เรื่องราววันคริสต์มาส ความเป็นมาวันคริสต์มาส

ประวัติวันคริสต์มาส
          คำว่า คริสต์มาส ภาษาอังกฤษเขียนว่า Christmas ดังนั้นอย่าลืม "ต์" อยู่ที่คำว่า คริสต์ (Christ) ไม่ใช่คำว่า "มาส" (Mas) Christmas มาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า โดยพบคำนี้ครั้งแรกในเอกสารโบราณในปี ค.ศ.1038 ภายหลังแปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส ซึ่งเป็นวันเกิดของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซ่าร์ ออกัสตัส แห่งโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็ขานรับนโยบาย อย่างไรก็ตามในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพ โดยตั้งแต่ปีค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปีค.ศ.64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปีค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย สำหรับองค์ประกอบในงานฉลองวันคริสต์มาสมีความเป็นมาเช่นกัน เริ่มที่คำอวยพรว่า Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาส คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส ต่อมาคือ "เพลง" ที่ใช้เฉลิมฉลองทั้งจังหวะช้าและจังหวะสนุกสนาน ส่วนใหญ่แต่งในยุคพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ (ค.ศ.1840-1900) ปัจจุบันแพร่หลายไปทั่วโลกโดยแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมาย สำหรับ "ซานตาคลอส" เซนต์นิโคลัสแห่งเมืองมีรา สมัยศตวรรษที่ 4 ได้รับการขนานนามให้เป็นซานตาคลอสคนแรก เพราะวันหนึ่งท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่งแล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี ปิดท้ายที่ต้นคริสต์มาส หรือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยดวงไฟหลากสีสัน ต้องย้อนไปศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมามาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปีค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก

คริสต์มาส คือการฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้า เราเฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม คำว่า คริสต์มาส เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christmas ซึ่งมาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า เพราะการร่วมพิธีมิสซา เป็นประเพณี สำคัญที่สุด ที่ชาวคริสต์ถือปฎิบัติกันในวันคริสต์มาส คำว่า Christes Maesse พบครั้งแรกในเอกสาร โบราณ เป็นภาษาอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1038 และคำนี้ก็แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas คำทักทายที่เราได้ฟังบ่อย ๆ ในเทศกาลนี้คือ Merry Christmas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ เพราะฉะนั้น คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพร คนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส

ต้นคริสต์มาส
          ในสมัยโบราณ "ต้นคริสต์มาส" หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบ ผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า (ปฐก.3:1-6) ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์แสดงละครที่ หน้าวัด ถึงความหมายของคริสต์มาส และเอาต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ตรงกลาง เพื่อประดับฉาก แสดงถึงบาปกำเนิดของอาดัมและเอวา ต้นไม้ที่ใช้เป็นต้นสน เนื่องจากเป็นต้นไม้ ที่หาง่ายที่สุด ในประเทศ เหล่านั้น การแสดงละครคริสต์มาสแบบนี้ มีมาเป็นเวลาช้านานหลายร้อยปี จนถึงศตวรรษที่ 15 พระสังฆราชหลายแห่งได้ห้ามแสดง เนื่องจากการแสดงนั้น กลายเป็นการเล่นเหมือนลิเก ล้อชาวบ้าน ผู้ปกครองบ้านเมือง และศาสนา ซึ่งไม่ตรงกับบรรยากาศของการฉลอง ชาวบ้านรู้สึกเสียดาย ที่ไม่มีโอกาส ดูละครสนุกๆ แบบนั้นอีก จึงไปสนุกกันที่บ้านของตน โดยเอาต้นไม้มาไว้ที่บ้าน หลังจากนั้น ก็เริ่มมีการแขวนลูกแอปเปิ้ล ขนมและของขวัญอย่างที่เห็นอยู่ ทุกวันนี้ .....นอกจากนั้น ชาวเยอรมันยังมีประเพณีอีกอย่างหนึ่งคือ มีการจุดเทียนหลายเล่มเป็นรูปปิรามิด ไว้ตลอดคืนคริสต์มาส โดยมีดาวของดาวิดที่ยอดปิรามิด ซึ่งประเพณีที่จะแขวนของขวัญและขนม ก็ได้รวมกับประเพณีของชาวเยอรมันนี้ มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 โดยเอาเทียนมาไว้ที่ต้นไม้ เป็นรูปทรงปิรามิด นี่เป็นที่มาของประเพณีปัจจุบัน ที่มีการแขวนของขวัญ และไฟกระพริบไว้ที่ต้นคริสต์มาส และมีดาวของดาวิดไว้ที่สุดยอด ประเพณีนี้ เป็นที่นิยมชมชอบของชาวตะวันตกอยู่มาก แม้ว่าประเพณีการตั้งต้นคริสต์มาส มีความเป็นมาดังกล่าว ชาวคริสต์ในสมัยนี้ ก็ยังนิยมทำกันอยู่ เพราะเห็นว่า มีความหมายถึงพระเยซูเจ้า ผู้เปรียบเสมือนต้นไม้แห่งชีวิต (ปฐก.2:9) ที่เขียวสดเสมอในทุกฤดูกาล ซึ่งหมายถึง นิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า และนอกจากนั้นยังหมายถึง ความสว่างของพระองค์ เสมือนแสงเทียนที่ส่องในความมืด ทั้งยังหมายถึง ความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูเจ้าประทานให้ เพราะต้นไม้นั้น เป็นจุดรวมของครอบครัวในเทศกาลนั้น

ซานตาครอส
          ซานตาคลอส เป็นจุดเด่นหรือสัญลักษณ์ ที่เด็กและผู้คนนิยมมากที่สุด ในเทศกาลคริสต์มาส แต่แท้ที่จริงแล้ว ซานตาคลอส แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้เลย ชื่อซานตาคลอส มาจากชื่อนักบุญนิโคลาส ซึ่งเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือ เป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของเด็กๆ นักบุญองค์นี้ เป็นสังฆราชของไมรา (อยู่ในประเทศตุรกี ปัจจุบัน) มีชีวิตอยู่ราวศตวรรษที่ 4 เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่ง อพยพไปอยู่ในสหรัฐ ก็ยังรักษาประเพณีนี้ไว้ คือ ฉลองนักบุญนิโคลาส ในวันที่ 6 ธันวาคม ซึ่งหมายถึง นักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้ เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ ที่อพยพมา ก็รู้สึกอยากมีส่วนร่วมในประเพณีแบบนี้บ้าง เพื่อรับของขวัญ ประเพณีนี้ จึงเริ่มเป็นที่รู้จัก และแพร่หลายไปในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลง บางอย่างคือ ชื่อนักบุญนิโคลาส ก็เปลี่ยนเป็นซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราช ซึ่งเป็นนักบุญ องค์นั้น ก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วน ใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นพาหนะ มีกวาง เรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟ ของบ้าน เพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้น อันที่จริง ซานตาคลอสเป็นรูปแบบที่น่ารัก เหมาะสำหรับเป็นนิยายให้เด็กๆ เชื่อ แต่อาจจะทำให้คนทั่วไปหันมาสนใจ ให้ความสำคัญในตัวนิยายนี้ แทนการบังเกิดของพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของเทศกาลคริสต์มาสนี้

อื่นๆ
          การให้ของขวัญในวันคริสต์มาส เป็นธรรมเนียมนี้ เริ่มกับชาวโรมที่เคยให้ของขวัญแก่เพื่อนในวันขึ้นปีใหม่ (มักจะเป็นผลไม้ ขนม หรือทองคำ) ต่อมาชาวอังกฤษถือ "วันกลอง" (ในวันที่ 26 ธันวาคม) เป็นวันที่ศิษยาภิบาลเคยเปิด "กลองทาน" ในโบสถ์ และแจกเงินให้สมาชิกที่ยากจน ต่อมาชาว อังกฤษก็ให้ของขวัญแก่พวกคนใช้ และเจ้าหน้าที่ต่างๆ ในวันนั้นด้วย ในทวีปยุโรป เด็กๆ มัก จะเข้าใจว่า พระกุมารเยซูเป็นผู้นำของขวัญมาให้เขา (แท้จริงแล้วพ่อแม่เป็นผู้ที่ให้ต่างหาก) แต่เด็กที่สหรัฐอเมริกามักจะคิดว่า "ซานตาคลอส" เป็นผู้ให้

          คืนก่อนวันคริสต์มาส หรือคริสต์มาสอีฟ จะมีงานแครอลลิ่ง ซึ่งจะมีเด็กๆ ไปร้องเพลงตามบ้าน ในคืนวันคริสต์มาส ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ จะมารวมตัวกันที่โบสถ์เพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน เช่นการแสดง ร้องเพลง

เพลงคริสต์มาส เพลงวันคริสต์มาส
          เพลงคริสต์มาส เริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 ซึ่งในสมัยนั้น มีทั้งพระสงฆ์และฆราวาสเป็นผู้แต่ง ร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมา ของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีวิวัฒนาการใหม่ในด้านเพลงนี้ เริ่มในประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้มีส่วนในการสนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่ ซึ่งชาวบ้านชอบ คือมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดี ในโอกาสคริสต์มาสนี้ เพลงเหล่านี้เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน เพลงคริสต์มาส ที่เรานิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night ความเป็นมาของเพลงนี้คือ วันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อโจเซฟ โมห์ เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวันเสีย ทำให้วงขับร้อง ไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ คุณพ่อเองตั้งใจ จะแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ หลังจากแต่งเสร็จ ก็เอาไปให้เพื่อนคนหนึ่งชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ ที่อยู่หมู่บ้านใกล้เคียงใส่ทำนอง ในคืนวันที่ 24 นั้นเอง สัตบุรุษวัดนี้ ก็ได้ฟังเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ASEAN

คำขวัญ
 "One Vision, One Identity, One Community"
(หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งเอกลักษณ์ หนึ่งประชาคม)

ประเทศสมาชิกในสมาคมประชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


สัญลักษณ์อาเซียน
“ต้นข้าวสีเหลือง 10 ต้นมัดรวมกันไว้”
หมายถึง ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้ง 10 ประเทศรวมกันเพื่อมิตรภาพและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน โดยสีที่ปรากฏในสัญลักษณ์ของอาเซียน เป็นสีที่สำคัญของธงชาติของแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียน

สีน้ำเงิน หมายถึง สันติภาพและความมั่นคง
สีแดง หมายถึง ความกล้าหาญและความก้าวหน้า

สีขาว หมายถึง ความบริสุทธิ์
สีเหลือง หมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง
สำนักเลขาธิการอาเซียน (ASEAN Secretariat)  ตั้งอยู่ที่่ กรุ่งจากาตาร์
เลขาธิการ : ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ (เริ่มดำรงตำเเหน่งเมื่อปี พ.ศ. 2551)
ปฏิญญากรุงเทพ     8 สิงหาคม พ.ศ. 2510 
กฎบัตรอาเซียน     16 ธันวาคม พ.ศ. 2551
ภาษาราชการ      ภาษาอังกฤษ
อาเซียนเปิดตัวตราสัญลักษณ์การเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 40 ปีแห่งการก่อตั้งอาเซียนในระดับภูมิภาค 19 กุมภาพันธ์ 2550



วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ฝรั่งเศษ ดินแดนเเห่งเทศกาล

ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2002 ประชากร 300 ล้านคนของ 12 ประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรป (โซนยูโร) ได้เริ่มใช้เงินยูโรแทนเงินตราของประเทศตนเอง และกว่าจะมาถึงขั้นตอนนี้ประเทศทั้ง 12 ได้ผ่านกระบวนการไตร่ตรองอันยาวนานในการจัดเตรียมระบบเศรษฐกิจของประเทศและในการเปลี่ยนมาใช้เงินสกุลยูโร


1969 - ระหว่างการประชุมสุดยอดที่กรุงเฮก สมาชิก 6 ประเทศของกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจยุโรป (Communauté économique européenne) ได้กำหนดให้มีการจัดตั้งสหภาพเศรษฐกิจและการเงินยุโรป (แผน Barre)


1971 - แผน Werner เสนอให้จัดระบบเศรษฐกิจของแต่ละประเทศสมาชิกของประชาคมเศรษฐกิจยุโรปให้เป็นไปในทางเดียวกันเพื่อเตรียมการรองรับระบบเงินสกุลเดียว ความไม่มีเสถียรภาพของเงินตราของประเทศต่างๆในยุโรปมีผลอย่างมากต่อโครงการนี้


1972 - ได้มีการออกมาตรการ Serpent monétaire européen (การกำหนดให้ค่าเงินขึ้นลงได้ในขอบเขตที่กำหนดไว้) ซึ่งถือเป็นหนทางหนึ่งในการควบคุมความผันผวนของเงินตราของประเทศต่างๆในยุโรป ในปี 1979 มีการจัดตั้งระบบเงินร่วมยุโรป (Système monétaire européen)


1986 - Acte unique ของสนธิสัญญากรุงโรมได้กำหนดขั้นตอนในการจัดตั้งสหภาพเศรษฐกิจและการเงินยุโรป (Union économique et monétaire)


1990 - การอนุญาตให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนโดยเสรีซึ่งนับเป็นกระบวนการแรกของสหภาพเศรษฐกิจและการเงินยุโรป


1992 - สนธิสัญญามาสทริชต์ได้กำหนดเกณฑ์ในการเตรียมความพร้อมของแต่ละประเทศที่จะเข้าร่วมสหภาพเศรษฐกิจและการเงินยุโรปเพื่อไปใช้เงินสกุลเดียว


2 พฤษภาคม 1998 - คณะกรรมาธิการยุโรปได้ประกาศรายชื่อประเทศที่จะร่วมใช้เงินสกุลเดียวอันได้แก่เยอรมัน ออสเตรีย เบลเยี่ยม สเปน ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส ไอร์แลนด์ อิตาลี ลักเซมเบอร์ก เนเธอร์แลนด์และโปรตุเกส (กรีซจะเข้าร่วมในปี 2001)


1 มิถุนายน 1998 - ได้มีการจัดตั้งธนาคารกลางยุโรป (Banque centrale européenne) ซึ่งจะเป็นผู้ดูแลนโยบายการเงินของยุโรป


1 มกราคม 1999 - เงินยูโรกลายเป็นเงินสกุลเดียว อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินยูโรและเงินสกุลของบรรดาประเทศที่ร่วมใช้เงินสกุลเดียวจะตายตัว (ในส่วนของฝรั่งเศส 1 ยูโร = 6.55957 ฟรังก์)


ได้มีการนำเงินยูโรมาใช้ในการดำเนินการธุรกรรมต่างๆในตลาดเงินทุน


1 มกราคม 2002 - เงินยูโรมีผลบังคับใช้ใน 12 ประเทศที่เข้าร่วม


17 กุมภาพันธ์ 2002 - เงินยูโรใช้แทนเงินฟรังก์อย่างเต็มตัว


การเปลี่ยนสกุลเงินตราในครั้งนี้ต้องอาศัยความพยายามในการปรับตัวของทุกๆฝ่ายไม่ว่าจะเป็น ผู้บริโภค บริษัทร้านค้า ภาครัฐและองค์กรที่ให้บริการสาธารณะ


หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตประจำวันจำต้องปรับเปลี่ยน ทั้งในเรื่องการติดป้ายราคาสินค้า การเปลี่ยนสกุลเงินในบัญชีธนาคาร การจัดทำเหรียญกษาปณ์และธนบัตรจำนวนพันๆล้าน การนำเงินฟรังก์ออกจากตลาด ฯลฯ)


ทราบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.finances.gouv.fr


เหตุใดจึงต้องมีเงินสกุลเดียว เศรษฐกิจของยุโรปเป็นตลาดขนาดใหญ่เพียงตลาดเดียว สมาชิกแต่ละประเทศของสหภาพยุโรปค้าขายระหว่างกันเป็นส่วนใหญ่ ระบบเงินสกุลเดียวจะทำให้ปัญหาจากอัตราแลกเปลี่ยนหมดไป ทั้งยังมีส่วนในการพัฒนายุโรปให้เป็นหนึ่งเดียวโดยใช้เงินตราระหว่างประเทศของยุโรปเอง ในขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ นอกจากจะช่วยให้การแลกเปลี่ยนและการลงทุนคล่องตัวขึ้นแล้ว ประเทศโซนยูโรยังพยายามกระตุ้นให้เกิดการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น


 เงินยูโร ( € )


นับแต่วันที่ 1 มกราคม 2002 จะมีการนำธนบัตรประมาณ 1.5 หมื่นล้านยูโรและเหรียญกษาปณ์ประมาณ 6 หมื่นล้านยูโรออกมาใช้ในประเทศโซนยูโร


 ลักษณะเหรียญกษาปณ์ยูโร


เพื่อแสดงถึงความเป็นหนึ่งเดียวและความหลากหลายของยุโรป เงินเหรียญยูโรจึงได้รับการออกแบบให้มีด้านหนึ่งที่เหมือนกันในทั้ง 12 ประเทศ (เป็นสัญลักษณ์รูปดาว 12 ดวง) ส่วนอีกด้านหนึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ


เหรียญยูโรของประเทศฝรั่งเศสมี 3 แบบ โดยใช้สัญลักษณ์ Marianne (รูปปั้นผู้หญิงเฉพาะท่อนบนซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของสาธารณรัฐฝรั่งเศสและเสรีภาพ) ต้นไม้ (สัญลักษณ์ของการมีชีวิต) และ Semeuse (รูปผู้หญิงกำลังหว่านเมล็ดพืชซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์)








เหรียญเหล่านี้ไม่ว่าแบบใดสามารถใช้ได้ในทุกประเทศในโซนยูโร


 ลักษณะธนบัตรยูโร


ด้านหน้าของธนบัตรยูโรของประเทศฝรั่งเศสเป็นรูปประตูและหน้าต่าง ส่วนด้านหลังเป็นรูปสะพาน ภาพสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ได้แรงบันดาลใจมาจากสถาปัตยกรรม 7 สมัยซึ่งแสดงถึงวัฒนธรรมยุโรปอันได้แก่ คลาสสิค โรมัน กอธิค เรอเนสซองซ์ บาร็อคและร็อกโคโค สถาปัตยกรรมที่มีการใช้เหล็กและแก้ว รวมไปถึงสถาปัตยกรรมสมัยใหม่

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ประวัติครัวซองต์

ครัวซองต์ นั้น เป็นคำเรียกที่เพี้ยนมาจากคำว่า เครสเซนต์ (Crescent) และขนมนี่ก็ทำขึ้นมาเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองที่กองทัพเอาชนะกองทัพตุรกีได้ ต้นกำเนิดของครัวซองยังไม่แน่ชัดว่ามีแหล่งกำเนิดมาจากประเทศใดกันแน่ซึ่งมีหลากหลายตำราที่กล่าวอ้างซึ่งแตกต่างกันตรงปี ค.ศ.และประเทศแหล่งกำเนิด แต่เนื้อหาของกำเนิดขนมครัวซองโดยรวมจะเป็นเนื้อหาเดียวกันซึ่งถือว่าเป็นขนม "ฉลองชัย" ซึ่งรูปแบบของขนมมาจากสัญลักษณ์จันทร์ครึ่งเสี้ยวเหมือนสัญลักษณ์ธงของตุรกีนั่นเอง

ตามตำนานที่ค้นพบซึ่งมีข้อแตกต่างกันระหว่างปี ค.ศ.กับประเทศต้นกำเนิดมีดังนี้

ปี ค.ศ.1683 กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรเลีย

ปี ค.ศ.1686 กรุงบูดาเปส ประเทศฮังการี

ปี ค.ศ.1742 กรุงบูคาเรสต์ ประเทศโรมาเนีย

เนื้อหาและใจความของประวัติขนมครัวซองจะมีความคล้ายคลึงกันซึ่งเล่าว่า สมัยนั้นเป็นยุคเรืองอำนาจของกองทัพจักรวรรดิมุสลิมออตโตมัน หรือที่เรียกกันว่า พวกเติร์ก
กลางดึกคืนหนึ่งเป็นคืนที่ทหารเติร์กระดมกำลังเข้าจู่โจมเพื่อจะตียึดเมือง ณ ร้านขนมปังเล็ก ๆ แห่งหนึ่งยังมีช่างอบขนมปังคนหนึ่งซึ่งกำลังทำงานอยู่ในห้องใต้ดิน เขาได้ยินเสียงดังแปลก ๆ มาจากหลังกำแพงเหมือนเสียงคนกำลังขุดอุโมงค์ซึ่งคาดว่าเป็นพวกทหารเติร์กที่จะบุกเข้ามาโจมตียึดเมืองของตน
ช่างทำขนมปังจึงได้ไปรายงานเรื่องราวให้ทางการทราบในทันทีและได้ช่วยกันเผาอุโมงค์ที่ทหารเติร์กช่วยกันขุดในคืนนั้นช่วยทำให้เมืองของตนรอดพ้นจากการถูกยึดครองจากทหารเติร์กได้
หลังจากทำความดีในครั้งนี้ช่างทำขนมปังได้ขอทำขนมเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว (Crescent)ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่อยู่บนธงของพวกเติร์กและมีการเฉลิมฉลองชัยชนะที่สามารถป้องกันการถูกยึดครองจากทหารเติร์กได้

ขนมปังนี้ใช้แสดงถึงกองกำลังทหารเติร์กและถูกกินอย่างอร่อยในงานฉลองชัยชนะต่อกองกำลังทหารเติร์กและเป็นที่มาของขนมครัวซองนั่งเอง
ต่อมาปี ค.ศ.1875 ที่ประเทศฝรั่งเศสได้รวบรวมครัวซองมาเป็นขนมที่กินกับกาแฟ (มีขนมอื่น ๆ เช่นมัฟฟินด้วย)และได้เขียนสูตรเป็นเรื่องเป็นราวในปีค.ศ 1905 ซึ่งไม่มีใครเคยพบสูตรครัวซองต์ในที่ใด ๆ ในโลกนี้มาก่อน

จึงสรุปได้ว่าประเทศฝรั่งเศสได้นำครัวซองต์มาทำให้เกิดใหม่อีกครั้งหนึ่งโดยได้นำเข้ามาอีกทีและทำให้โลกรู้จักขนมครัวซองต์กันอย่างกว้างขวางมาจนถึงปัจจุบัน
สูตรทำขนม ครัวซอง ( Croissants )


วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

นอร์เวย์ได้ชื่อ "ดินแดนอาทิตย์เที่ยงคืน"

นอร์เวย์ได้ชื่อ "ดินแดนอาทิตย์เที่ยงคืน" หรือ The Midnight Sun มาจากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะโลกกลมและหมุนรอบแกนของตัวเอง พร้อมโคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วย โดยจะเอียงแกนเอาขั้วโลกเหนือ-ใต้ สลับเข้าหาดวงอาทิตย์ชั่วระยะหนึ่งใช้เวลาเท่าๆ กันคือประมาณ 4-6 เดือน ระหว่างที่โลกหันเอาขั้วนั้นเข้าหาดวงอาทิตย์จะเป็นฤดูร้อน      เมื่อโลกเอียงเอาขั้วโลกเหนือเข้าหาดวงอาทิตย์ ขั้วโลกเหนือจะได้รับแสงสว่างและความร้อนเต็มที่ สว่างอยู่เป็นเวลา 24 ชั่วโมงติดต่อกันเป็นเวลานับเดือน จะเห็นอาทิตย์โคจรเป็นทางโค้งอยู่เหนือขอบฟ้า ขึ้นสูงพ้นยอดไม้ และค่อยลดต่ำลงจนเกือบจดขอบฟ้า แต่จะไม่ลับขอบฟ้าไปเสียเลยทีเดียว ก่อนกลับสูงขึ้นไปอีกในตอนเที่ยงคืน ทำให้มีแสงสว่างสาดเป็นทาง ต้นไม้มีเงายาวทอดออกไปตามพื้นดิน คล้ายอาทิตย์ในยามเช้าหรือยามเย็น
     ขณะเดียวกัน ฝั่งตรงข้ามคือขั้วโลกใต้จะมืดมิด อากาศหนาวจัดตลอด 24 ชั่วโมงติดต่อนับเป็นเดือนเช่นกัน แต่เมื่อโลกเอียงเอาขั้วโลกใต้เข้าหาดวงอาทิตย์ ขั้วโลกใต้ก็จะสว่างเป็นเวลานาน และมีปรากฏการณ์เห็นดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงคืนเช่นกัน (เพียงแต่ว่าซีกโลกนั้นไม่มีมนุษย์อยู่อาศัยยืนยัน มีเพียงเพนกวินจักรพรรดิเท่านั้นที่เตาะแตะชมวิว) ยามขั้วโลกเหนือตกอยู่ในความมืด อากาศหนาวจัดตลอด 24 ชั่วโมงติดต่อนับเป็นเดือน
     ปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์เที่ยงคืน ณ โลกเหนือ จะเกิดขึ้นในบริเวณที่อยู่เหนือเส้นอาร์ติกเซอร์เคิล หรือประมาณเส้นละติจูดที่ 66 องศาเหนือ ทำให้ผู้คนในประเทศที่อยู่เหนือเส้นละติจูดนี้มองเห็นดวงอาทิตย์ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน
     สำหรับนอร์เวย์ สถานที่ที่ชมตะวันยามเที่ยงคืนได้เหมาะเจาะคือเมืองทรอมโซ่ ระหว่าง 16 พฤษภาคม-27 กรกฎาคม และเมืองสวาลบอร์ด ซึ่งเป็นหมู่เกาะกลางมหาสมุทรอาร์กติก ทางตอนเหนือของแผ่นดินใหญ่นอร์เวย์ขึ้นไปอีก 640 กิโลเมตร ระหว่าง 19 เมษายน-23 สิงหาคม
     นอกจากนอร์เวย์ ดินแดนที่อยู่เหนือเส้นอาร์กติกเซอร์เคิล ประกอบด้วย อะลาสกา แคนาดา กรีนแลนด์ ไอซ์แลนด์ สวีเดน ฟินแลนด์ และดินแดนของรัสเซียอย่างบริเวณโนวาวา เซมล์ยา หรือมูร์มันสก์ ก็สามารถมองเห็นอาทิตย์เที่ยงคืนได้เหมือนกัน ทั้งนี้ดินแดนที่เคยมีบันทึกว่าเกิดปรากฏการณ์อาทิตย์เที่ยงคืนนานที่สุด คือทางปลายเหนือสุดของฟินแลนด์ ดวงอาทิตย์ไม่ตกดินนานถึง 73 วัน
สำหรับการจัดเวลากลางวันกลางคืน ดวงอาทิตย์ไม่สร้างความสับสน เพราะว่าไปตามนาฬิกาเป็นปกติ

วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

วันลอยกระทง

ลอยกระทง เป็นพิธีอย่างหนึ่งที่มักจะทำกันในคืนวันเพ็ญ เดือน 12 หรือวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 อันเป็นวันพระจันทร์เต็มดวง และเป็นช่วงที่น้ำหลากเต็มตลิ่ง โดยจะมีการนำดอกไม้ ธูป เทียนหรือสิ่งของใส่ลงในสิ่งประดิษฐ์รูปต่างๆ ที่ไม่จมน้ำ เช่น กระทง เรือ แพ ดอกบัว ฯลฯ แล้วนำไปลอยตามลำน้ำ โดยมีวัตถุประสงค์ และความเชื่อต่างๆ กัน ในปีนี้วันลอยกระทงตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน 2554
ประเพณีลอยกระทง มิได้มีแต่ในประเทศไทยเท่านั้น ในประเทศจีน อินเดีย เขมร ลาว และพม่า ก็มีการลอยกระทงคล้ายๆ กับบ้านเรา จะต่างกันบ้าง ก็คงเป็นเรื่องรายละเอียด พิธีกรรม และความเชื่อในแต่ละท้องถิ่น แม้แต่ในบ้านเราเอง การลอยกระทง ก็มาจากความเชื่อที่หลากหลายเช่นกัน ซึ่งกลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ได้รวบรวมมาบอกเล่าให้ทราบกันดังต่อไปนี้
ทำไมถึงลอยกระทง การลอยกระทง เป็นประเพณีที่มีมาแต่โบราณ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่า ปฏิบัติกันมาแต่เมื่อไร เพียงแต่ท้องถิ่นแต่ละแห่ง ก็จะมีจุดประสงค์และความเชื่อในการลอยกระทงแตกต่างกันไป เช่น ในเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ก็จะเป็นการบูชาพระเกศแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์, เป็นบูชารอยพระพุทธบาท ณ หาดทรายริมฝั่งแม่น้ำนัมมทา ซึ่งปัจจุบันคือแม่น้ำเนรพุททาในอินเดีย หรือต้อนรับพระพุทธเจ้า ในวันเสด็จกลับจากเทวโลก เมื่อครั้งไปโปรดพระพุทธมารดา

นอกจากนี้ ก็ยังมีวัตถุประสงค์ เพื่อบูชาพระอุปคุตเถระที่บำเพ็ญบริกรรมคาถาในท้องทะเลลึก หรือสะดือทะเล บางแห่งก็ลอยกระทง เพื่อบูชาเทพเจ้าตามความเชื่อของตน บางแห่งก็เพื่อแสดงความขอบคุณพระแม่คงคา ซึ่งเป็นแหล่งน้ำให้มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์ต่างๆ รวมทั้งขอขมาที่ได้ทิ้งสิ่งปฏิกูลลงไป ส่วนบางท้องที่ ก็จะทำเพื่อระลึกถึงบรรพบุรุษที่ล่วงลับ หรือเพื่อสะเดาะเคราะห์ ลอยทุกข์โศกโรคภัยต่างๆ และส่วนใหญ่ก็จะอธิษฐานขอสิ่งที่ตนปรารถนาไปด้วย
พระยาอนุมานราชธน ได้สันนิษฐานว่า ต้นเหตุแห่งการลอยกระทง อาจมีมูลฐานเป็นไปได้ว่า การลอยกระทงเป็นคติของชนชาติที่ประกอบกสิกรรม ซึ่งต้องอาศัยน้ำเป็นสำคัญ เมื่อพืชพันธุ์ธัญชาติงอกงามดี และเป็นเวลาที่น้ำเจิ่งนองพอดี ก็ทำกระทงลอยไปตามกระแสน้ำไหล เพื่อขอบคุณแม่คงคา หรือเทพเจ้าที่ประทานน้ำมาให้ความอุดมสมบูรณ์ เหตุนี้ จึงได้ลอยกระทงในฤดูกาลน้ำมาก และเมื่อเสร็จแล้ว จึงเล่นรื่นเริงด้วยความยินดี เท่ากับเป็นการสมโภชการงานที่ได้กระทำว่า ได้ลุล่วงและรอดมาจนเห็นผลแล้ว ท่านว่าการที่ชาวบ้านบอกว่า การลอยกระทงเป็นการขอขมาลาโทษ และขอบคุณต่อแม่คงคา ก็คงมีเค้าในทำนองเดียวกับการที่ชาติต่างๆ แต่ดึกดำบรรพ์ได้แสดงความยินดี ที่พืชผลเก็บเกี่ยวได้ จึงได้นำผลผลิตแรกที่ได้ ไปบูชาเทพเจ้าที่ตนนับถือ เพื่อขอบคุณที่บันดาลให้การเพาะปลูกของตนได้ผลดี รวมทั้งเลี้ยงดูผีที่อดอยาก และการเซ่นสรวงบรรพบุรุษที่ล่วงลับ เสร็จแล้วก็มีการสมโภชเลี้ยงดูกันเอง
ต่อมาเมื่อมนุษย์มีความเจริญแล้ว การวิตกทุกข์ร้อน เรื่องเพาะปลูกว่าจะไม่ได้ผลก็น้อยลงไป แต่ก็ยังทำการบวงสรวง ตามที่เคยทำมาจนเป็นประเพณี เพียงแต่ต่างก็แก้ให้เข้ากับคติลัทธิทางศาสนาที่ตนนับถือ เช่น มีการทำบุญสุนทานเพิ่มขึ้นในทางพุทธศาสนา เป็นต้น แต่ที่สุด ก็คงเหลือแต่การเล่นสนุกสนานรื่นเริงกันเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ดี ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น การลอยกระทงจึงมีอยู่ในชาติต่างๆทั่วไป และการที่ไปลอยน้ำ ก็คงเป็นความรู้สึกทางจิตวิทยา ที่มนุษย์โดยธรรมดา มักจะเอาอะไรทิ้งไปในน้ำให้มันลอยไป
ทำไมกระทงส่วนใหญ่เป็นรูปดอกบัว ในหนังสือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ หรือตำนานนางนพมาศ ซึ่งเป็นพระสนมเอก ของพระมหาธรรมราชาลิไทยหรือพระร่วง แห่งกรุงสุโขทัย ได้กล่าวถึงวันเพ็ญเดือนสิบสองว่า เป็นเวลาเสด็จประพาสลำน้ำ ตามพระราชพิธีในเวลากลางคืน และได้มีรับสั่งให้บรรดาพระสนมนางในทั้งหลาย ตกแต่งกระทงประดับดอกไม้ธูปเทียน นำไปลอยน้ำหน้าพระที่นั่ง ในคราวนั้น ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ หรือนางนพมาศพระสนมเอก ก็ได้คิดประดิษฐ์กระทงเป็นรูปดอกบัวกมุทขึ้น ด้วยเห็นว่าเป็นดอกบัวพิเศษ ที่บานในเวลากลางคืนเพียงปีละครั้งในวันดังกล่าว สมควรทำเป็นกระทงแต่งประทีป ลอยไปถวายสักการะรอยพระพุทธบาท ซึ่งเมื่อพระร่วงเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็น ก็รับสั่งถามถึงความหมาย นางก็ได้ทูลอธิบายจนเป็นที่พอพระราชหฤทัย พระองค์จึงมีพระราชดำรัสว่า “แต่นี้สืบไปเบื้องหน้าโดยลำดับ กษัตริย์ในสยามประเทศ ถึงกาลกำหนดนักขัตฤกษ์ วันเพ็ญเดือน 12 ให้นำโคมลอยเป็นรูปดอกบัว อุทิศสักการบูชาพระพุทธบาทนัมมทานที ตราบเท่ากัลปาวสาน” ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็นโคมลอยรูปดอกบัวปรากฏมาจนปัจจุบัน


ตำนานและความเชื่อ จากที่กล่าวมาข้างต้นว่า การลอยกระทง ในแต่ละท้องที่ก็มาจากความเชื่อ ความศรัทธาที่แตกต่างกัน บางแห่งก็มีตำนานเล่าขานกันต่อๆมา ซึ่งจะยกตัวอย่างบางเรื่องมาให้ทราบ ดังนี้
เรื่องแรก ว่ากันว่าการลอยกระทง มีต้นกำเนิดมาจากศาสนาพุทธนั่นเอง กล่าวคือก่อนที่พระพุทธองค์จะตรัสรู้ เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ประทับอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ใกล้แม่น้ำเนรัญชรา กาลวันหนึ่ง นางสุชาดาอุบาสิกาได้ให้สาวใช้นำข้าวมธุปายาส (ข้าวกวนหุงด้วยน้ำผึ้งหรือน้ำอ้อย) ใส่ถาดทองไปถวาย เมื่อพระองค์เสวยหมดแล้ว ก็ทรงตั้งสัตยาธิษฐานว่า ถ้าหากวันใดจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ก็ขอให้ถาดลอยทวนน้ำ ด้วยแรงสัตยาธิษฐาน และบุญญาภินิหาร ถาดก็ลอยทวนน้ำไปจนถึงสะดือทะเล แล้วก็จมไปถูกขนดหางพระยานาคผู้รักษาบาดาล
พระยานาคตื่นขึ้น พอเห็นว่าเป็นอะไร ก็ประกาศก้องว่า บัดนี้ได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อุบัติขึ้นในโลกอีกองค์แล้ว ครั้นแล้วเทพยดาทั้งหลายและพระยานาค ก็พากันไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า และพระยานาคก็ได้ขอให้พระพุทธองค์ ประทับรอยพระบาทไว้บนฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เพื่อพวกเขาจะได้ขึ้นมาถวายสักการะได้ พระองค์ก็ทรงทำตาม ส่วนสาวใช้ก็นำความไปบอกนางสุชาดา ครั้นถึงวันนั้นของทุกปี นางสุชาดาก็จะนำเครื่องหอม และดอกไม้ใส่ถาดไปลอยน้ำ เพื่อไปนมัสการรอยพระพุทธบาทเป็นประจำเสมอมา และต่อๆ มาก็ได้กลายเป็นประเพณีลอยกระทง ตามที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
ในเรื่องการประทับรอยพระบาทนี้ บางแห่งก็ว่า พญานาคได้ทูลอาราธนาพระพุทธเจ้า ไปแสดงธรรมเทศนาในนาคพิภพ เมื่อจะเสด็จกลับ พญานาคได้ทูลขออนุสาวรีย์จากพระองค์ไว้บูชา พระพุทธองค์จึงได้ทรงอธิษฐาน ประทับรอยพระบาทไว้ที่หาดทรายแม่น้ำนัมมทา และพวกนาคทั้งหลาย จึงพากันบูชารอยพระพุทธบาทแทนพระองค์ ต่อมาชาวพุทธได้ทราบเรื่องนี้ จึงได้ทำการบูชารอยพระบาทสืบต่อกันมา โดยนำเอาเครื่องสักการะใส่กระทงลอยน้ำไป ส่วนที่ว่าลอยกระทงในวันเพ็ญ เดือน 11 หรือวันออกพรรษา เพื่อเฉลิมฉลองวันคล้ายวันที่พระพุทธเจ้า เสด็จกลับมาสู่โลกมนุษย์ หลังการจำพรรษา 3 เดือน ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อแสดงอภิธรรมโปรดพุทธมารดานั้น ก็ด้วยวันดังกล่าว เหล่าทวยเทพและพุทธบริษัท พากันมารับเสด็จนับไม่ถ้วน พร้อมด้วยเครื่องสักการบูชา และเป็นวันที่พระพุทธองค์ได้เปิดให้ประชาชนได้เห็นสวรรค์ และนรกด้วยฤทธิ์ของพระองค์ คนจึงพากันลอยกระทง เพื่อเฉลิมฉลองรับเสด็จพระพุทธเจ้า
สำหรับคติที่ว่า การลอยกระทงตามประทีป เพื่อไปบูชาพระเกศแก้วจุฬามณี บนสรวงสรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้น ก็ว่าเป็นเพราะตรงกับวันที่พระพุทธเจ้า เสด็จออกบรรพชาที่ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา ทรงใช้พระขรรค์ตัดพระเกศโมลีขาด ลอยไปในอากาศตามที่ทรงอธิษฐาน พระอินทร์จึงนำผอบแก้วมาบรรจุ แล้วนำไปประดิษฐานไว้ในจุฬามณีเจดีย์ บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ (ตามประทีป คือ การจุดประทีป หรือจุดไฟในตะเกียง /โคม หรือผาง-ถ้วยดินเผาเล็กๆ) ซึ่งทางเหนือของเรา มักจะมีการปล่อยโคมลอย หรือโคมไฟที่เรียกว่า ว่าวไฟ ขึ้นไปในอากาศเพื่อบูชาพระเกศแก้วจุฬามณีด้วย
เรื่องที่สอง ตามตำราพรหมณ์คณาจารย์กล่าวว่า พิธีลอยประทีปหรือตามประทีปนี้ แต่เดิมเป็นพิธีทางศาสนาพราหมณ์ ทำขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าทั้งสามคือ พระอิศวร พระนารายณ์และพระพรหม เป็นประเภทคู่กับลอยกระทง ก่อนจะลอยก็ต้องมีการตามประทีปก่อน ซึ่งตามคัมภีร์โบราณอินเดียเรียกว่า “ทีปาวลี” โดยกำหนดทางโหราศาสตร์ว่า เมื่อพระอาทิตย์ถึงราศีพิจิก พระจันทร์อยู่ราศีพฤกษ์เมื่อใด เมื่อนั้นเป็นเวลาตามประทีป และเมื่อบูชาไว้ครบกำหนดวันแล้ว ก็เอาโคมไฟนั้นไปลอยน้ำเสีย ต่อมาชาวพุทธเห็นเป็นเรื่องดี จึงแปลงเป็นการบูชารอยพระพุทธบาท และการรับเสด็จพระพุทธเจ้า ดังที่กล่าวมาข้างต้น โดยมักถือเอาเดือน 12 หรือเดือนยี่เป็งเป็นเกณฑ์ (ยี่เป็งคือเดือนสอง ตามการนับทางล้านนา ที่นับเดือนทางจันทรคติ เร็วกว่าภาคกลาง 2 เดือน)
เรื่องที่สาม เป็นเรื่องของพม่า เล่าว่า ครั้งหนึ่งในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงมีพระประสงค์จะสร้างเจดีย์ให้ครบ 84,000 องค์ แต่ถูกพระยามารคอยขัดขวางเสมอ พระองค์จึงไปขอให้พระอรหันต์องค์หนึ่ง คือ พระอุปคุตช่วยเหลือ พระอุปคุตจึงไปขอร้องพระยานาคเมืองบาดาลให้ช่วย พระยานาครับปาก และปราบพระยามารจนสำเร็จ พระเจ้าอโศกมหาราช จึงสร้างเจดีย์ได้สำเร็จสมพระประสงค์ ตั้งแต่นั้นมา เมื่อถึงวันเพ็ญเดือน 12 คนทั้งหลายก็จะทำพิธีลอยกระทง เพื่อบูชาคุณพระยานาค เรื่องนี้ บางแห่งก็ว่า พระยานาค ก็คือพระอุปคุตที่อยู่ที่สะดือทะเล และมีอิทธิฤทธิ์มาก จึงปราบมารได้ และพระอุปคุตนี้ เป็นที่นับถือของชาวพม่า และชาวพายัพของไทยมาก
เรื่องที่สี่ เกิดจากความเชื่อแต่ครั้งโบราณในล้านนาว่า เกิดอหิวาต์ระบาด ที่อาณาจักรหริภุญชัย ทำให้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก พวกที่ไม่ตายจึงอพยพไปอยู่เมืองสะเทิม และหงสาวดีเป็นเวลา 6 ปี บางคนก็มีครอบครัวอยู่ที่นั่น ครั้นเมื่ออหิวาต์ได้สงบลงแล้ว บางส่วนจึงอพยพกลับ และเมื่อถึงวันครบรอบที่ได้อพยพไป ก็ได้จัดธูปเทียนสักการะ พร้อมเครื่องอุปโภคบริโภคดังกล่าวใส่ สะเพา ( อ่านว่า “ สะ - เปา หมายถึง สำเภาหรือกระทง ) ล่องตามลำน้ำ เพื่อระลึกถึงญาติที่มีอยู่ในเมืองหงสาวดี ซึ่งการลอยกระทงดังกล่าว จะทำในวันยี่เพง คือ เพ็ญเดือนสิบสอง เรียกกันว่า การลอยโขมด แต่มิได้ทำทั่วไปในล้านนา ส่วนใหญ่เทศกาลยี่เพงนี้ ชาวล้านนาจะมีพิธีตั้งธัมม์หลวง หรือการเทศน์คัมภีร์ขนาดยาวอย่างเทศน์มหาชาติ และมีการจุดประทีปโคมไฟอย่างกว้างขวางมากกว่า (การลอยกระทง ที่ทางโบราณล้านนาเรียกว่า ลอยโขมดนี้ คำว่า “ โขมด อ่านว่า ขะ-โหมด เป็นชื่อผีป่า ชอบออกหากินกลางคืน และมีไฟพะเหนียงเห็นเป็นระยะๆ คล้ายผีกระสือ ดังนั้น จึงเรียกเอาตามลักษณะกระทง ที่จุดเทียนลอยในน้ำ เห็นเงาสะท้อนวับๆ แวมๆ คล้ายผีโขมดว่า ลอยโขมด ดังกล่าว)
รื่องที่ห้า กล่าวกันว่าในประเทศจีนสมัยก่อน ทางตอนเหนือ เมื่อถึงหน้าน้ำ น้ำจะท่วมเสมอ บางปีน้ำท่วมจนชาวบ้านตายนับเป็นแสนๆ และหาศพไม่ได้ก็มี ราษฎรจึงจัดกระทงใส่อาหารลอยน้ำไป เพื่อเซ่นไหว้ผีเหล่านั้นเป็นงานประจำปี ส่วนที่ลอยในตอนกลางคืน ท่านสันนิษฐานว่า อาจจะต้องการความขรึม และขมุกขมัวให้เห็นขลัง เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับผีๆสางๆ และผีก็ไม่ชอบปรากฏตัวในตอนกลางวัน การจุดเทียนก็เพราะหนทางไปเมืองผีมันมืด จึงต้องจุดให้แสงสว่าง เพื่อให้ผีกลับไปสะดวก ในภาษาจีนเรียกการลอยกระทงว่า ปล่อยโคมน้ำ (ปั่งจุ๊ยเต็ง) ซึ่งตรงกับของไทยว่า ลอยโคม จากเรื่องข้างต้น เราจะเห็นได้ว่า การลอยกระทง ส่วนใหญ่จะเป็นการแสดงความกตัญญู ระลึกถึงผู้มีพระคุณต่อมนุษย์ เช่น พระพุทธเจ้า เทพเจ้า พระแม่คงคา และบรรพชน เป็นต้น และแสดงความกตเวที (ตอบแทนคุณ) ด้วยการเคารพบูชาด้วยเครื่องสักการะต่างๆ โดยเฉพาะการบูชาพระพุทธเจ้า หรือรอยพระพุทธบาท ถือได้ว่าเป็นคติธรรมอย่างหนึ่ง ที่บอกเป็นนัยให้พุทธศาสนิกชน ได้เจริญรอยตามพระบาทของพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงามทั้งปวงนั่นเอง
ประเพณีลอยกระทง นอกจากจะเป็นประเพณีที่มีคุณค่า ในเรื่องการแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวที ต่อผู้มีพระคุณดังที่กล่าวมาแล้ว ประเพณีนี้ยังมีคุณค่าต่อครอบครัว ชุมชน สังคม และศาสานาด้วย เช่น ทำให้สมาชิกในครอบครัวได้ใช้เวลาร่วมกัน ทำให้ชุมชนได้ร่วมมือร่วมใจกันจัดงาน หรือในบางท้องที่ที่มีการทำบุญ ก็ถือว่ามีส่วนช่วยสืบทอดพระศาสนา และในหลายๆ แห่งก็ถือเป็นโอกาสดีในการรณรงค์อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในแม่น้ำลำคลองไปด้วย

วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2554

โยคะร้อน


โยคะร้อน





         โยคะร้อน เรารวบรวม ข้อมูลเกี่ยวกับโยคะร้อน มีทั้ง ความหมาย ข้อดีของโยคะร้อน ท่าฝึก รูปภาพท่าฝึกโยคะร้อน รวมทั้งวิธีฝึกแต่ละท่าโดยละเอียด ซึ่งท่านสามารถทำตามได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาไปฝึกในศูนย์ฝึกโยคะแต่อย่างใด หวังว่าบทความนี้ คงเป็นประโยชน์ต่อทุกท่านนะค่ะ
       วันนี้เอาข่าวมาฝากสาวๆ ที่รักสวยรักงามและ หาหนทางในการรักษาสุขภาพ และที่สำคัญที่จะทำให้สาวๆ ตาโตคือการลดน้ำหนัก หลายท่านคงเคยได้ยินว่าสมัยนี้เค้านิยมออกกำลังกายด้วยการเล่นโยคะร้อน และอยากรู้ว่ามีประโยชน์และทำอย่างไร มาฟังทางนี้คะ และถ้าทดลองทำแล้วได้ผลดี เขียนมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันบ้างนะคะ
        โยคะร้อน อีกหนึ่งวิวัฒนาการของศาสตร์แห่งโยคะ ที่ตอนนี้กำลังเป็นที่นิยม อย่างมากในสหรัฐอเมริกา และขณะนี้ก็ฮิตและแพร่หลายในเมืองไทย  ประกอบด้วยท่าหลักทั้งหมด 26 ท่า ผู้ฝึกจะฝึกในห้องที่มีอุณหภูมิสูงใกล้เคียงกับอุณหภูมิภายในร่างกาย ประมาณ 36-37 องศาเซลเซียส ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่น ได้มากกว่า อุณหภูมิปกติ ท่าต่างๆของโยคะร้อน จะช่วยกระชับกล้ามเนื้อในส่วนต่างๆของร่างกาย  ลดปัญหาการปวดหลังและคอ รวมทั้งทำให้ระบบไกลเวียนของโลหิตดีขึ้น อุณหภูมิที่สูงยังทำให้ร่างกายสามารถกำจัดของเสียออกมาในรูปเหงื่อได้เป็นอย่างดี จึงเป็นปัจจัย หลักที่ทำให้น้ำหนักลด และ ทำให้รู้สึกสดชื่นหลังการฝึก
ความพิเศษของโยคะร้อน
การเล่นโยคะร้อนในห้องร้อนนี้จะทำให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่นได้มากกว่าในอุณหภูมิปกติ ท่าต่างๆของโยคะร้อนจะช่วยกระชับกล้ามเนื้อในส่วนต่างๆของร่างกาย ลดปัญหาการปวดหลังและคอ  รวมทั้งทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น   นอกจากนี้อุณหภูมิที่สูงยังช่วยให้ร่างกายสามารถกำจัดของเสียออกมาในรูปเหงื่อได้อย่างดี ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้น้ำหนักตัวลดลงและรู้สึกสดชื่น สบายตัวหลังการเล่น
โยคะร้อนทั้ง 26 ท่าเหมาะกับผู้เล่นทุกระดับไม่ว่าจะเพิ่งเริ่มเล่นเป็นครั้งแรกหรือเคยฝึกมานานแล้วก็ตาม เพราะแต่ละท่าจะอยู่ในระดับขั้นพื้นฐาน (Beginner) ผสมผสานความยืดหยุ่น ความแข็งแกร่ง เน้นการทำงานของกล้ามเนื้อส่วนหลังและหัวเข่า รวมทั้งความสมดุลเข้าไว้ด้วยกัน จึงเป็นการท้าทายให้ผู้เล่นพยายามปฏิบัติแต่ละท่าให้ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตั้งใจจดจ่ออยู่กับท่าที่กำลังปฏิบัติว่าควรเคลื่อนไหวอย่างไรด้วยจังหวะช้าหรือเร็วขนาดไหน ถือว่าเป็นการบังคับตัวเองให้เกิดสมาธิอย่างเป็นธรรมชาติ เนื่องจากผู้เล่นจะต้องค้างแต่ละท่าไว้ประมาณ 30 วินาที ถึง 1 นาที ซึ่งผลต่อจังหวัดการหายใจ
ทำให้การหายใจอย่างช้าๆ จนจิตใจสงบลงได้โดยอัตโนมัติและยังช่วยระบบการเผาผลาญพลังงานของร่างกายได้ดีอีกด้วย โยคะร้อนเป็นการเคลื่อนไหวในลักษณะของความสมดุลตามธรรมชาติ (natural balance) ซึ่งจะช่วยแก้ไขด้านบุคลิกภาพ เช่น การนั่งหลังโก่งหรือห่อไหล่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพียงแค่การเคลื่อนไหว ท่า back bend หรือการเอนตัวไปข้างหลังนั้นจะช่วยเปิดส่วนและสะโพก ดึงกล้ามเนื้อบริเวณนั้น ให้ยืดเหยียด กระชับกล้ามเนื้อส่วนก้นและหน้าท้อง ในขณะเดียวกันยังช่วยให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้ดี

เล่นโยคะอย่างไรให้ได้ผล
การเล่นโยคะต้องอาศัยความสม่ำเสมอในการฝึกฝนเช่นเดียวกับการเล่นกีฬาอื่นๆ เพื่อความพร้อมและการปรับตัวของร่างกาย เสริสร้างความแข็งแรงและสัดส่วนของกล้ามเนื้อให้สมดุล ที่สำคัญคือการเล่นโยคะเป็นประจำนอกจากจะทำให้เกิดความแม่นยำในการเล่นแต่ละท่าแล้ว ยังทำให้ได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจอีกด้วย ดังนั้น แนะนำว่าควรเล่นอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 วัน ส่วนเวลาในการเล่นประมาณครั้งละ 90 นาที จะเป็นช่วงเช้าหรือช่วงเย็นก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกของผู้เล่น



โยคะร้อนประกอบด้วยทำอะไรบ้าง
การเล่นโยคะร้อนในแต่ละท่าจะแบ่งเป็น 2 ช่วง โดยช่วงแรกจะใช้เวลา 60 วินาที ส่วนช่วงที่สองจะลดเวลาเหลือ 30 วินาที และแน่นอนว่าก่อนการเล่นทุกครั้งควรเริ่มด้วยท่าอบอุ่นร่างกาย(wam-up) ก่อน ซึ่งมักจะใช้ท่า Surya Namaskara 10 ครั้ง ดังนี้
ท่า Surya Namaskara
เริ่มจากยืนตัวตรงแขนแนบลำตัวแล้วชูแขนขึ้นเหยียดตรง ก้มตัว แขนกอดหลังขา ทิ้งศีรษะจรดเข่า จากนั้นใช้มือแตะปลายเท้า ขาเหยียดตรงยืดศีรษะไปข้างหน้าแล้วสปริงตัวมาอยู่ในท่าวิดพื้นโดยลำตัวขนานกับพื้น แหงนศีรษะไปด้านหลัง ส่วนขาเหยียดตรงกับพื้น ดันสะโพก แขนและลำตัวเป็นเส้นตรง ส่วนศีรษะขนานกับแขน ลักษณะเหมือนรูปสามเหลี่ยม เสร็จแล้วกระโดดกลับมาในท่ายืนเข่าตึงมือแตะปลายเท้า ย้อนกลับมาท่ากอดเข่า ยืนตรงชูแขนขึ้น และค่อยๆวางแขนสงแนบลำตัวเช่นเดิม
ท่าที่ 1 Standing Deep Breathing
ยืนตรงขาชิด กำมือประสานกันไว้ใต้คาง สูดลมหายใจเข้าทางจมูกพร้อมกับค่อยๆแหงนหน้า กางข้อศอกออก จากนั้นหุบข้อศอกลงมาชนกันพร้อมกับปล่อยลมหายใจออกทางปาก สังเกตว่าท่านี้จะบังคับให้กล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้องทำงาน ซึ่งเป็นการบริหารปอดรับออกซิเจนได้ดี
ท่าที่ 2 Half Moon Pose with Hand to Feet Pose
ยืนชูแขนเหยียดตรงโดยที่ฝ่ามือประกบกัน แล้วเอียงตัวไปด้านขวาให้สีข้างด้านซ้ายรู้สึกยืดเหยียดเต็มที่ ค้างไว้ 1 นาที แล้วทำสลับอีกข้างหนึ่งเสร็จจากการบริหารสีข้างแล้ให้มาต่อที่การบริหารส่วนหลัง  โดยยืนเตรียมในท่าเดิมแต่เปลี่ยนมาเอนตัวไปข้างหลัง พร้อมกับหายใจและเก็บหน้าท้องค้างไว้ 1 นาที ตามด้วยท่าเอนตัวไปข้างหน้า โดยดึงหลังตรงขนานไปข้างหน้าทั้งสามท่านี้จัดว่าเป็นท่า warm-up ที่ดี สามารถยืดกล้ามเนื้อแทบทุกส่วน เช่น กลางลำตัว ขา และ หลัง เป็นต้น

ท่าที่ 3 Standing Bow Pulling Pose
ยืนตรงเข่าตึง ก้มตัวลงมือจับยึดส้นเท้า ศีรษะติดเข่า (ท่านี้เหมาะสำหรับทำตอนเช้าตื่นนอนเพราะจะช่วยให้ร่างกายตื่นตัวเร็ว) ต่อด้วยท่าทรงตัวด้วยขาข้างเดียว โดยเริ่มจากยืนด้วยขาซ้าย ยกขาขวาเข่างอ มือจับข้อเท้าส่วนแขนซ้ายให้คว่ำมือ ปลายนิ้วชิดเหยียดขนานกับพื้นไปข้างหน้าพร้อมกับค่อยๆ โน้มตัวไปด้านหน้า และใช้แขนขวาดึงขาให้ยกสูงขึ้น ท่านี้จะสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อขา หลัง และสีข้าง

ท่าที่ 4 Triangle
เริ่มจากยืนกางแขนและขา เอนขาขวามาด้านข้างให้เข่างอตั้งฉากกับพื้น โดยทิ้งน้ำหนักลงที่หัวเข่าขาซ้ายเหยียดตรง เท้ายึดพื้นเอาไว้ แล้วค่อยโน้มตัวไปด้านข้าง แขนซ้ายชี้ขึ้นบนทำมุมตรงกับแขนขวา ปลายนิ้วมือจรดปลายนิ้วเท้า ท่านี้จะเป็นการบริหารกล้ามเนื้อใต้ต้นขา หัวเข่า รวมทั้งสะบักหลัง

ท่าที่ 5 Tree Pose
ยืนตรงเปิดไหล่แล้วยกเท้าขวามาพักที่หน้าขาบริเวณใต้สะโพก แล้วประนมมือปลายนิ้วจรดปลายคางท่านี้จะช่วยดึงขา หลัง ลำคอหลังจนถึงศีรษะให้เหยียดตึง ขณะเดียวกันให้ดึงลำตัวขึ้น เก็บก้นและหน้าท้องเพื่อช่วยในการทรงตัว

ท่าที่ 6 Tose Stand Pose
ยืนเตรียมลักษณะเดียวกับท่า Tree pose แต่เป็นท่านั่งบนขาข้างเดียวโดยเปิดส้นเท้าขึ้นและทิ้งน้ำหนักลงบนส้นเท้า ซึ่งการพับหรืองอเข่าในท่านี้ประมาณ 1 นาที จะเป็นการกักเก็บเลือดเอาไว้ แล้วเพิ่มแรงดันในเส้นเลือดบริเวณดังกล่าวสูงขึ้นส่งผลให้เลือดไหลเวียนได้อย่างสะดวก รวมทั้งช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับข้อเท้า หัวเข่า และการทรงตัวที่ดี แต่ข้อควรระวัง คือ ผู้เล่นท่านี้จะต้องแน่ใจว่าไม่มีปัญหาเรื่องข้อเท้าหรือหัวเข่า

ท่าที่ 7 Fixed Firm Pose
นอนหงายราบกับพื้นพับขาปลายเท้าแนบสะโพก ไขว้แขนเหนือศีรษะมือจับข้อศอก ยกลำตัวขึ้นเก็บหน้าท้อง แต่บริเวณสะบักหลังและหัวไหล่ติดพื้น ท่านี้จะเป็นการเปิดสะโพกทำให้เลือดบริเวณสะโพก หน้าขา และหัวเข่าไหลเวียนได้ดี

ท่าที่ 8 Half Tortoise Pose
นั่งคุกเข่าปลายเท้าราบกับพื้น พับลำตัวติดกับหน้า ขาเหยียดหลังให้ตึง โดยใช้แขนทั้งสองข้างช่วยดึงไปข้างหน้า ฝ่ามือประกบกันและไขว้นิ้วหัวแม่มือ ท่านี้จะทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยง หัวใจและสมองได้ดี

ท่าที่ 9 Camel Pose
ท่ายืนบนเข่าแยกขาขนานกันเล็กน้อยแล้วแอ่นหลังในท่าสะพานโค้ง มือจับ ยึดกับส้นเท้าแขนเหยียดตรง แหงนหน้าทิ้งศีรษะไปด้านหลังท่านี้เป็นการบริหารกล้ามเนื้อหน้าขาให้เหยียดตึงและช่วยกระชับกล้ามเนื้อก้น ส่วนการแหงนหน้าทิ้งศีรษะจะช่วยนำเลือดไปเลี้ยงสมอง

ท่าที่ 10 Head to Knee Pose with Stretching Pose
เริ่มจากนั่งแยกขาโดยขาข้างหนึ่งชี้เป็นเส้นทแยงมุม 45 องศา ตั้งปลายเท้าขึ้น
ให้รู้สึกว่าหลังเข่าตึงเต็มที่ พับขาอีกข้างหนึ่งเก็บมาด้านหน้าแนบต้นขา เอี้ยวตัวก้มลงให้ศีรษะติดหัวเข่าบนข้างที่เหยียดออกพร้อมกับมือจับยึดที่ฝ่าเท้าค้างไว้ 1 นาที จึงต่อด้วยท่านั่งเหยียดขามาข้างหน้า ตั้งปลายเท้าขึ้นแล้วก้มศีรษะติดหัวเข่าเช่นเดิม ท่านี้จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อหลังเข่าให้เหยียดตึงรวมทั้งหลังและต้นคอ

ข้อดีของการเล่นโยคะ
1.เสริมสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นให้กับกล้ามเนิ้อ ข้อพับ หรือ ข้อต่อ
2.ช่วยลดน้ำหนักและกระชับกล้ามเนื้อซึ่งช่วยรักษารูปร่างให้ได้สัดส่วนที่สวยงาม
3.การเคลื่อนไหวในแต่ละท่าเอื้อต่อระบบการไหวเวียนของเลือดเพื่อไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
4.ช่วยบริหารกล้ามเนื้อส่วนหัวใจให้เลือดไหลเวียนดีและขยายปอด
5.ไม่ทำให้เกิดอาการข้อเสื่อมภายหลังเพราะแต่ละท่าจะไม่มีการใช้ข้อต่อที่หักโหมเหมือนการเล่นกีฬาหรือ การเต้นบางประเภท
6.สามารถฝึกฝนที่บ้านได้ด้วยตนเอง และ ไม่จำกัดว่าควรเล่นในช่วงเวลาใด

วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2554

กรดไขมันปลา ทำให้เป็นคนใจเย็น ไม่บุ่มบ่าม



 มหาวิทยาลัยพิตสเบิร์กของสหรัฐฯ ศึกษาพบว่า การกินปลาไม่แต่เพียงแค่บำรุงหัวใจเท่านั้น หากยังช่วยปลุกอารมณ์ความ รู้สึกให้แจ่มใสขึ้นอีกด้วย เพราะได้พบว่ากรดไขมันโอเมก้า-3 ที่มีอยู่อุดมในปลาอย่างปลาแซลมอน มีผลต่อสมองบริเวณที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และความคิด

          ดร.ซาราห์ เอ็ม.คอนกลิน เสนอรายงานผลการศึกษา ในที่ประชุมประจำปีของแพทยสมาคมโรคทางกายที่เนื่องมาแต่อาการทางจิตแห่งอเมริกันว่า คณะนักวิจัยเคยสังเกตพบมาว่า ผู้ที่มีระดับของกรดไขมันโอเมก้า-3 ในเลือดต่ำ มักจะเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ค่อนข้างจะเลือดร้อน ในขณะที่ผู้ที่มีในระดับสูง จะใจอ่อน และไม่ค่อยจะแสดงอารมณ์บูด
          ดร.ซาราห์กับคณะครั้งหลังสุดได้ศึกษา ด้วยการดูปริมาณของวัตถุสีเทาในสมอง โดยเฉพาะตรงบริเวณส่วนที่เกี่ยวกับการแสดงอารมณ์ ว่ามีความสัมพันธ์กับปริมาณของกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่กินเข้าไปอย่างเป็นสัดเป็นส่วนหรือไม่ คณะนักวิจัยเชื่อว่า ยิ่งบริโภคกรดโอเมก้า-3 เข้าไปมาก ก็ควรทำให้วัตถุสีเทาตรงสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์โตใหญ่ตามไปด้วย

          ผลของการศึกษาส่อว่า กรดโอเมก้า-3 น่าจะมีส่วนช่วยในการปรับปรุงโครงข่ายสมองบริเวณนั้นให้ดีขึ้น แต่จำเป็นจะต้องมีการศึกษาต่อไป เพื่อให้มั่นใจได้ว่า การกินปลาก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสมองแท้จริงหรือไม่

รู้จักกับประโยชน์ของรกแกะช่วยกระตุ้นให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวใหม่

แนะนำรกแกะและคุณสมบัติพิเศษ  สารในรกแกะสามารถซึมซาบลึกถึงรูขุมขนได้รวดเร็วและดีเยี่ยม
จึงช่วยเพิ่มความนุ่มนวล
สดใสสู่ผิวรวมทั้งยังช่วยแก้ไขข้อบกพร่องและริ้วรอยหยาบกร้าน
ทั้งยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวใหม่
ที่สำคัญยังเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง แพ้ง่าย หรือ Sensitive Skin
ผิวคุณจึงดูอ่อนกว่าวัย นุ่มนวลพร้อมช่วยคืนความแข็งแรง และผ่องใสสู่ผิว คุณสมบัติสำคัญของรกแกะเม็ด เสริมสร้างความอ่อนนุ่ม

คุณสมบัติที่สำคัญของ รกแกะ ช่วยให้กระตุ้นการทำงานสมานเซลล์ผิวอันเกิดจากแผลต่างๆ รวมทั้งแผลเป็นได้อีกด้วย
โปรตีนจากรกจึงกลมกลืนเข้ากับร่างกายคนทั่วไปได้และอ่อนโยนต่อทุกสภาพผิวและทุกคน
โปรตีนสกัดจากรกแกะได้ผ่านการค้นคว้า ทดลอง และบันทึก

ผลิตภัณฑ์รกแกะเติมความละมุนให้กับผิว สัมผัสความอ่อนนุ่มหลังการใช้แค่ 2-3 นาที ขายรกแกะ
เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับสภาพผิว ช่วยลดอาการบวมบริเวณใต้ดวงตา
สร้างความเชื่อมั่นให้กับผิวหน้าอีกครั้ง และปลอดภัยจากสารเคมีที่เป็นพิษ
เพราะรกแกะสกัดบริสุทธิ์จากธรรมชาตินุ่มละมุนด้วยโมเลกุลของน้ำ
เพื่อช่วยดูดซึมและกระชับผิวให้แข็งแรง

โดยมีการรายงานจากประเทศอเมริกา ( USA Cosmetic Ingredient Review safety assessment panel)ว่า ลาโนลินไม่แห้งตึง และช่วยคงความอ่อนเยาว์ที่ช่วยส่งเสริมการ สร้างเซลล์ทดแทนใหม่ และสนับสนุนการสร้างเนื้อเยื่อผิวหนัง คอ

และ วัตถุดิบที่มีลาโนลินเกี่ยวข้อง มีความปลอดภัยในการนำไปใช้เฉพาะที่ของมนุษย์

น้ำมันจากขนแกะ ใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญ
ในผลิตภัณฑ์เพื่อบำรุงผิวมาตั้งแต่สมัยกรีกและอียิปต์|ทางการแพทย์พบว่าลาโน
ลินเป็นน้ำมันธรรมชาติ มอยส์เจอไรเซอร์ที่ช่วยรักษาน้ำหล่อเลี้ยงผิว
ปกป้องผิวจากมลภาวะ อากาศแห้งและแสงแดด ช่วยปรับสภาพผิวให้เนียนนุ่ม
ชุ่มชื่นลดความหยาบกระด้างของผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณ
จะเข้าไปช่วยฟื้นฟูและเสริม โปรตีนในชั้นผิว เพิ่มความยืดหยุ่นของผิว ลดริ้วรอยและปรับสภาพผิวให้เนียนเรียบขึ้น

ประโยชน์การดื่มนมสำหรับผู้สูงอายุ

ประโยชน์ของโยเกิร์ตชนิดครีม คือ
- ให้โปรตีน ไขมัน และแคลเซียมเท่ากับนมสดในปริมาณเท่ากัน
- มีปริมาณน้ำตาลนม (น้ำตาลแล็กโทส) ลดลง และมีน้ำย่อยจากจุลินทรีย์ จึงช่วยลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และท้องเสียจากการบริโภคนมในคนบางกลุ่ม
- มีเชื้อที่เป็นประโยชน์ต่อทางเดินอาหาร ลดการท้องเสีย

ประโยชน์ของนมเปรี้ยวชนิดดื่ม คือ
- ให้โปรตีน ไขมัน แคลเซียม แต่ไม่สูงเท่านมสด เพราะถูกเจือจางโดยน้ำเชื่อมใส่สีและกลิ่น
- มีปริมาณน้ำตาลนม (น้ำตาลแล็กโทส) ลดลง และมีน้ำย่อยจากจุลินทรีย์ จึงช่วยลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และท้องเสียจากการบริโภคนมในคนบางกลุ่ม
- มีเชื้อที่เป็นประโยชน์ต่อทางเดินอาหาร ลดการท้องเสีย ยกเว้นในกรณีที่นมเปรี้ยวถูกนำไปพาสเจอร์ไรส์ หรือบรรจุกล่องยูเอชที ก็จะไม่มีประโยชน์ในข้อนี้

ประโยชน์ของยาคูลท์ คือ
- มีเชื้อที่เป็นประโยชน์ต่อทางเดินอาหาร ลดการท้องเสีย ในผู้สูงอายุควรเลือกบริโภคชนิดที่ไม่หวาน หากเลือกชนิดหวานก็ดื่มไม่ได้มาก นอกจากนี้ ควรเลือกชนิดที่ยังมีจุลินทรีย์ที่มีชีวิตอยู่

๒. นมผง นมผงขาดมันเนยหรือนมพร่องไขมัน คือ
- นมผงธรรมดา (Whole milk powder) : คือ นมโคที่ถูกนำไประเหยน้ำออกด้วยกระบวนการสเปรย์ดรายจนแห้งเป็นผง จึงให้คุณค่าทางโภชนาการใกล้เคียงกับนมสดชนิดธรรมดา หลังจากนำไปละลายน้ำแล้ว
- นมผงขาดมันเนย (Skim milk powder) : คือ นมโคที่ถูกนำไปแยกไขมันออกไปหมด (เหลือไม่เกินร้อยละ ๑) แล้วจึงนำนมดังกล่าว ไประเหยน้ำออกด้วยกระบวนการ สเปรย์ดรายจนแห้งเป็นผง นมผงชนิดนี้เมื่อนำไปละลายน้ำจะมีคุณค่าโภชนาการคล้ายนมสดชนิดธรรมดา แต่ไม่มีไขมันนมที่ขาดมันเนย บางครั้งเรียกว่าหางนม นมชนิดนี้เหมาะ สำหรับผู้สูงอายุ ผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก และระดับโคเลสเตอรอล
- นมพร่องมันเนย (Low fat milk) : คือ นมโคที่ถูกแยกไขมันบางส่วนออกไป บางส่วนจนเหลือปริมาณร้อยละ ๑-๒ (จากเดิมร้อยละ ๓-๔) นมชนิดนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องระวังการบริโภคไขมัน นมที่ให้พลังงานและมีความอิ่มตัว ได้แก่ ผู้ที่มีอายุเกิน ๒๕ ปีขึ้นไป

๓. หางนมผง (Skin milk powder) : คือ นมที่ผ่านกระบวนการแยกไขมันออกจนเหลือเพียง ต่ำกว่าร้อยละ ๐.๑ แล้วนำไปทำให้แห้งเป็นผง นมชนิดนี้ให้โปรตีนแคลเซียมเป็นหลัก แต่ไม่ให้ไขมัน

๔. ข้อแตกต่างและประโยชน์ของเนยอ่อน เนยเทียม เนยแข็ง คือ
- เนยเหลว (Butter) คือ ส่วนของไขมันจากนมที่แยกจากครีมของน้ำนมโค มีไขมันอย่างน้อยร้อยละ ๘๐ ประโยชน์คือเป็นแหล่งของไขมันแต่มีโคเลสเตอรอลและไขมันอิ่มตัว
- เนยเทียม (Margarine) คือ เนยที่ทำจากไขมันพืชเพื่อเลียนแบบเนยเหลว มีไขมันในปริมาณใกล้เคียงกับเนยเหลว และมักมีไขมันอิ่มตัวในปริมาณที่สูงเช่นกัน
- เนยแข็ง (Cheese) คือ ผลิตภัณฑ์นมที่ได้จากการตกตะกอน โปรตีนและอัดเป็นแท่งมีมากมายหลาย ชนิดตามประเภทของนมและจุลินทรีย์ ที่ใช้ช่วยในกระบวนการผลิตประกอบด้วยโปรตีน แคลเซียมและไขมัน

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

นิสัย กรุ๊ปเลือด

ทฤษฎีเรื่องกรุ๊ปเลือด โคตรตรง
> > >>> กรุ๊ปเลือดเป็นตัวกำหนดสายพันธ์ของมนุษย์ เช่น หมาขนแบบนี้สูงเท่านี้
> > >>> เป็นหมาโกลเดนที่ร่าเริง
> > >>> งูพันนี้สายนี้จะมีพิษ กิ้งก่าแบบนี้ ชอบหลับ ตอนบ่าย
> > >>>
> > >>
> ผมเชื่อว่าในมนุษย์ของเราจะมีเผ่าพันธ์แปลกแยกโดยการแบ่งเผ่านอกจากสีผิวแล้วยัง
> > >> มีการแบ่งแบบกรุ๊ปเลือดด้วยครับก่อนหน้านี้มี
> > >>> forward เรื่องเกี่ยวกับนิสัยแต่ละกรุ๊ปเลือดของแต่ละคนมาแล้ว
> > >>> วันนนี้จะเป็นการแสดง ทฎษฎีของผมแบบที่ได้เจอกับตัวเองมา
> > >>>
> > >>> นิยามของคนแต่ละกรุ๊ปเลือด
> > >>> O กวนตีน ชิล
> > >>> B โผงผาง จริงใจ
> > >>> A จุกจิก เนี๊ยบ
> > >>> AB ประหลาด ลึกลับ

> > >>>
> > >>> Group 'O'
> > >>> > > เริ่มจากรุ๊ปนี้ก่อนเลย เพราะทั้งบ้านเป็นโอ
> > >>> > > คนกรุ๊ปโอไม่ต้องตกใจว่าทำไม
> > >>> > > เราเป็นคนที่มีนิสัยชิล มันไม่ได้เกิดจากคุณเอง เกิดจากเผ่าพันธ์
> > >>> > > ยีนของคุณครับ :)
> > >>> > > กรุ๊ปโอมักจะชิลกับตนเองเสมอ
> > >> มาสายมากถึงมากที่สุดเวลานัดกันกับคนอื่นอื่น
> > >>> > > โดนรบกวนได้ง่ายจากปัจจัยภายนอก เช่น
> > >>> > > อยากอาบน้ำร้อนก่อนในวันฝนตกไม่งั้นไม่ออกจากบ้าน
> > >>> > > ขออ่านการ์ตูนก่อนอีกสิบหน้าจะจบแล้ว
> > >>> > > รอฝนมันซากว่านี้แล้วกันค่อยออกแม้จะไปอีกทีสายแล้ว ก็ไม่เป็นไร
> > >>> > > กรุ๊ปโอ
> > >>> > > เป็นพวกไม่มีไฟแล้วทำอะไรไม่ได้ จะนอนอยู่กับบ้านได้ทั้งวัน
> > >>> > > แต่ถ้าวันนึงมีความฝันที่ต้องทำ มีกิเลสที่ตัวเองต้องการ
> > >>> > > จะทำสุดชีวิตแบบถึงเช้าถึงเที่ยงคืนก็ทำได้ ไม่หลับไม่นอน
> > >>> > > ความรักของกรุ๊ปโอจะเป็นพวกรักนานๆ ไปเรื่อยๆไม่หวือหวา
> > >>> > > พวกกรุ๊ปโอ จะเป็นคนไว้ใจคนยาก แต่ถ้ารู้จักกันไปแล้วก็จะติดเพื่อน
> > >>> > > ติดแฟนอย่างแยกไม่ออก เวลากรุ๊ปโอมาเจอกับกรุ๊ปโอกันเองจะจูนยาก
> > >>> > > เพราะจะดูๆกันก่อน
> > >>> > > กรุ๊ปโอเป็นพวกจะคบใครจะค่อยๆดู พอเจอโอกันเองเลยดูกันนาน
> > >>> > > แต่พอคบไปเรื่อยๆจะสนิทกันมากที่สุดกว่ากรุ๊ปอื่น
> > >>> > > แต่ก็จะมีช่องว่างให้กันด้วย กรุ๊ปโอเป็นพวกตามน้ำ
> > >>> > > เวลาจะเอาคนกรุ๊ปโอไปไหน เค้าก็ไปไ! ด้หมดล่ะ แต่ต้องมารับโทรไปตาม
> > >>> > > ให้ความสำคัญต้องอัญเชิญว่าง่ายๆเถอะมาแน่!ต้องให้คนไปง้อ
> > >>> > > กรุ๊ปโอไม่พุดอะไรออกจากใจ
> > >>> > > ภายในทันทีจะไปคิดทีนึงแล้วค่อยมาบอก
> > >>> > > บางทีจะทำอะไรก็ชอบไปปรึกษาก่อนว่าแบบนี้ดีไหม?
> > >>> > > มีเรื่องกลุ้มใจก็จะรบกวนคนรอบข้างคอยช่วยปรับสารทุกข์สุขดิบ
> > >>> > > แล้วก็กลับมาดีได้ด้วยแรงใจของคนรอบข้าง
> > >>> > > กรุ๊ปโอจะเป็นพวกปากหวานถ้าทำอะไรไม่เป็นก็จะทำตาปริบๆ
> ให้คนช่วยทำเสมอ
> > >>> > > นอกจากนี้โอยังเป็นพวกเจ้าสัวใจถึง
> > >>> > > ถ้ากลางที่สาธารณะก็จะหน้าใหญ่ใจกว้าง หลังจากงานเลี้ยงค่อยมาคิด
> > >>> > > เออหมดตัวแล้ว ๕๕๕
> > >>>
> > >>> Group 'B'
> > >>> > > บี เนี่ยผมจะมีเพื่อนสนิทเป็น B เยอะมาก กรุ๊ป B เป็นกรุ๊ป Entertain
> > >>> > > อย่างหนักหน่วงและ เป็นสีสันของวงสนทนา ไอเดียที่ B
> > >>> > > คิดจะตรงพูดจากใจเสมอ
> > >>> > > เรียกเสียงหัวเราะของคนในวงได้เพราะ คนอื่นจะคิด'กูก็คิดแบบนั้น
> > >>> > > แต่ไม่กล้าพูด' บี เป็นรักใครอัดเต็มบ้าเห่อ พอชอบใครจะเอาตัวเอง
> > >>> > > ไปเลียบๆเคียงๆ คนที่ตัวเองชอบแบบเนียนๆ
> > >>> > > ส่วนมากกรุ๊ปบีจะไปชอบคนกรุ๊ปโอ ด้วยความนิ่งกว่าของคนกรุ๊ปโอ
> > >>> > > เพราะบีเจอบีจะระเบิด
> เวลามีเรื่องปั้บออกตัวล้อฟรีจะเป็นจะตายทีเดียว
> > >>> > > เราจะได้เห็นบีในเห็นการแปลกๆเช่นทะเลาะกับยาม โวยวายกับคนโทรสับผิด
> > >>> > > โมโหเพื่อนทั้งที่ยังไม่เคลียร์เรื่องเหตุต้นตอ
> > >>> > > แล้วพอหลังจากมีเรื่องจะมาคิดได้ว่า
> > >>> > > 'น่าจะใจเย็นกว่านี้ หน่อยนะ ,ไม่น่าพูดแบบนี้ไปเลย'
> > >>> > > แต่ก็ด้วยความตรงทำให้ไม่คิดอะไรมาก ถ้าเค้าจะชอบเรา(คนกรุปบี)แบบ
> > >>> > > ที่เป็นเราก็คงดีแล้วบีก็จะลืมเรื่องที่ตัวเองทำเอาไว้
> > >>> > > กรุ๊ปบี บ้าเห่ออย่างที่บอก
> > >>> > > พอรักกันก็ปานจะกลืนพอไม่สนใจก็เอาไปทิ้งถังขยะได้ทีเดียว
> > >>> > > กรุ๊ปบีเป็นพวก
> > >>> > > ชัดเจน ไม่ชอบจะไม่ไปไหนด้วยเลย
> > >>> > > อาจจะเห็นกรุ๊ปบีไปเที่ยวเป็นกลุ่มใหญ่ๆ
> > >>> > > ตามคนอื่นไปบ้าง แต่พอครั้นอยากจะนอนอยู่บ้านหร! ือ วันนี้รถติดหว่ะ
> > >>> > > ก็ไม่ไปซะเลย ไม่โทรบอกใครด้วย กรุ๊ปบีดูเป็นคนใจร้ายแต่จริงๆ
> > >>> > > เป็นคนจริงใจและค่อนข้างยอมคนที่ตนเองสนิทอย่างมาก
> > >>> > > ถ้าพอในกลุ่มแล้ว บี จะได้รับอิทธิพลจากโอสูงทีเดียวด้วย
> > >>> > > เหตุผลกับความนิ่งสยบความเคลื่อนไหว ว่าง่ายๆบีแพ้ทางโอ
> > >>> > > บางทีอะไรที่โอทำบีจะปลาบปลื้มมาก แต่พอ เอไปทำบีจะมองว่ารำคาญหว่ะ
> > >>> > > กรุ๊ปบีเป็นกรุ๊ปแห่งอารมณ์
> > >>> > > ไม่มีความเท่าเทียมกันในกรุ๊ปนี้ใช้อารมณ์ตัดสินกันล้วนๆ
> > >>> > > บีไม่ต้องการคำปลอบใจหรือกำลังใจใดใด
> ขอนอนบ้างหลังจากอัดเต็มมาพักนึง
> > >>> > > หรือได้ออกไปด่า
> > >> ทำลายของของคนที่ตัวเองไม่ชอบก็กลับมาดี๊ด่าได้เหมือนเดิม
> > >>> > > อย่าลืมว่าเวลาไปเที่ยวไหนให้พกคนกรุ๊ปนี้เอาไว้
> > >>> > > เพื่อเพิ่มสีสันให้กับกลุ่ม เพราะบีถือคติสนุกไว้ก่อน
> > >>> > > อ้อ แต่บีเห็นตลกแบบนี้ จะเป็นคนมีเหตุผลกับเรื่องคอขาดบาดตายสูงมาก
> > >>> > > ตัดสินใจได้ดีทีเดียว ยิ่งเรื่องที่ตัวเองไม่ชอบขอมีส่วนด้วย
> > >> อาจจะยุคนอื่น
> > >>> > > ให้เลิกคบกันไปเลย
> > >>> > > บีเป็นคนที่ประจบประแจงได้เนียน ถ้าโอจะทำจะกระดากตัวเอง
> > >>> > > ถ้าเอทำจะรู้สึกเสียศักดิ์ศรี แต่บี> จะไม่มีทิฐิถ้าอยากทำก็จะทำ
> > >>> > > ไม่ได้ทำให้ทุกคนด้วยมีไรมั้ย เรื่องของฉั้นเชิ้บๆ
> > >>>
> > >>> Group 'A'
> > >>> > > คนกรุ๊ปนี้ ทางยุโรปบอกว่าเป็นกลุ่มคนที่หน้าตาดีที่สุด
> > >> ผมเองคิดว่าไม่จริง
> > >>> > > 555+ กรุ๊ป เอ เป็นพวกมีความมั่นใจในตัวเองสูง
> > >>> > > เป็นคนที่เป็นนักคิดนักวางแผน
> > >>> > > เราจะเห็นคนเรียนดีจากเลือดกรุ๊ปนี้เยอะมาก
> > >>> > > เพราะความขยันและการเตรียมตัวที่ดีของเขา เอ
> > >>> > > ชอบอยู่ในกลุ่มคนและได้ออกความเห็นตลอด ชอบวิจารณ์คนอื่น
> > >>> > > แต่รับคำวิจารณ์ที่คนอื่นวิจารณ์ตนเองไม่ได้เท่าไหร่ เอ
> > >>> > > เป็นคนที่สนิทยากถึงจะสนิทแต่ก็จะมีกำแพงกั้นไว้เสมอ
> > >>> > > เอจะแบ่งเวลาให้กับทุกคนสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็น
> > >>> > > ครอบครัว เพื่อน คนรัก คนทำงาน กรุ๊ปเอเวลานัดกันจะไปคนแรกเสมอ
> > >>> > >
> > >>
> ตรงต่อเวลาและมีสัมมาคารวะแต่ในใจก็จะมีความคิดที่ตัดสินคนแต่ละคนเอาไว้ในหัวแล
> > >> ้ว
> > >>> > > เป็นกลุ่มคนที่มีเหตุผลสูงสุด เราแทบจะเถียงไม่ชนะกรุ๊ปนี้เลย
> > >>> > > แต่เวลากรุ๊ปเอทำอะไรออกมากลับเป็นอะไรที่ Emotion
> > >>> > > มากขัดกับคาแรคเตอร์ที่ตัวเองเก็บไว้
> > >>> > > ผมคิดว่าเพราะความเก็บกดที่ต้อง อยู่ในกรอบตลอดเวลา กรุ๊ปเอเป็นพวก
> > >>> > > Work
> > >>> > > hard play hard เรียนถึงเกียรตินิยมแต่เล่นแรงแบบลืมวันคืน
> > >>> > > กรุ๊ปเอ กับเพื่อน ยิ่งกลุ่มใหญ่ เอจะยิ่งเป็นลิ่วล้อ
> แต่พอกลุ่มเล็กลง
> > >>> > > เอจะเทพขึ้นมาเรื่อยๆ ! ถ้าเป็นคนรัก เอจะเอาตัวเองเป็นเหมือนตราชั่ง
> > >>> > > คือเสมอภาค ไม่ว่าแฟนจะรุ่นใหญ่กว่า
> > >>> > > เอจะเอาตัวเองไปเทียบให้เท่ากัน
> > >>> > > แต่ถ้าแฟนรุ่นเล็กกว่าก็จะเอาตัวเองลงไปคลุกกับโลกของคนนั้นซะงั้น เอ
> > >>> > > ชอบคิดว่า อันนี้มันไม่ยุติธรรมเอาซะเลย และประสาทเสีย
> > >>> > > กับอะไรที่ผิดแผน นอยอยู่คนเดียวเสมอ เอ ไม่ถูกกับโออย่างรุนแรง
> > >>> > > ด้วยความเป็นคนในกรอบแล้วไปเจอคนนอกรีต จะรู้สึกหงุดหงิด
> > >>> > > อะไรว่ะ!!!นัดกันเที่ยงมาสามโมง
> > >>> > > แต่บางครั้ง เอ ก็จะคิดเข้าข้างตัวเองเสมอเวลาตัวเองทำผิดบ้าง และ
> > >>> > > ยิ้มอยู่คนเดียวเวลาที่ตัวเองรู้สึกเหนือกว่า อะไรที่ เอ ทำหน่ะ
> > >>> > > ดีดลูกคิดรางแก้วไว้หมดแล้วหล่ะ
> > >>>
> > >>> Group 'AB'
> > >>> > > เอบี เป็นอัจฉะริยะ เราจะเห็นเวลาที่ เอบีพูดน้อยกว่าคิด
> > >>> > > เอบีชอบหลบอยู๋ในมุมจ้องมองคนอื่นๆทำอะไรต่างๆ แล้วก็คิดไปเรื่อย
> > >>> > > ถ้าเป็นฉันจะทำยังไงตรงนี้ จะมีอะไรที่ดีกว่าไหม
> > >>> > > เอบี เป็นพวกชอบคิดนอกกรอบ เป็นเทพเจ้า
> > >>> > > แต่ในขณะเดียวกันอาจเป็นไอ้บ้าของใครบางคนได้ เพราะ
> > >>> > > เอบีจะทำอะไรนอกกรอบและแนวทดลองเสมอ ผมมีเพื่อนที่เป็นเอบีน้อยมาก
> > >>> > > พอเอาสัดส่วนมากเทียบไม่น่าจะถึง 5เปอร์เซ็นต์ เอบีมีวิธีเอนเทอเทน
> > >>> > > ให้ตัวเองมีความสุขแปลกๆ ในมุมของตัวเอง เช่น
> > >>> > > การนั่งกดรีโมทแอร์ตอนไม่มีถ่านแล้วสนุก หรือมองมดเดิน
> > >>> > > แล้วลองตั้งชื่อมด จำว่าตอนมันเดินกลับมาเราจะจำชื่อมันได้ไหม
> > >>> > > เอบีมักสร้างสิ่งแตกต่างในสังคมเสมอ ทำให้เกิดอารยะธรรม
> > >>> > > วัฒนธรรมใหม่ๆได้
> > >>> > > เวลานั่งในกลุ่มใหญ่จะมีแค่สองสถานการณ์
> > >>> > > ของคนในกรุ๊ปนี้คือ โดนสปอตไลท์ หรือหลบในมุมมืด เราจะไม่เห็น
> > >>> > > เอบีเฮฮาแบบเนียนๆไปกับกลุ่มเพื่อนฝูงตลอด 3 ชม.
> > >>> > > ไอ้คนที่ทำแบบนั้นได้คือกรุ๊ปบี 5555+
> > >>> > > เอบีจะมีโลกส่วนตัวสูง เราเอาแนวคิดที่เรามี กฏเกณฑ์ที่เรามีไปตัดสิน
> > >>> > > เอบีไม่ได้ นิสัยของเอบีหลักๆคือลึกลับ ถ้าเอบีเค้าจะสนุกกับคนอื่นๆ
> > >>> > > อย่างเดียวคือกา! รได้แกล้งคนอื่น หรือ
> > >>> > > ดูคนอื่นทำอะไรที่ตนเองวางแผนเอาไว้
> แล้วหัวเราะอยู่ในมุมเล้กๆของเค้า
> > >>> > > :)
> > >>>
> > >>>
> ถ้าเกิดการทะเลาะกันหล่ะ
> > >>> > > แน่นอนคู่แรกจะเป็น A กับ O เพราะอย่างที่บอกคนในกรอบเจอคนนอกรีต A
> > >>> > > ไม่ชอบความรู้สึกผิดเอง จะหาคนผิดในกรณีนั้นทันที
> > >>> > > แล้วBเองจะเข้ามาเหมือนจะมาไกล่เกลี่ย
> > >>> > > แต่จริงๆจะเอามุขที่เตรียมไว้อย่างเหมาะสม
> > >>> > > ใส่ลงมากลางวงเพื่อความเมามันของตัวเอง
> > >>> > > ซึ่ง A จะใส่ยับด้วยเหตุผลแต่ O เองก็จะเถียงแพ้ด้วยเหตุผลทางสังคม
> > >>> > > แต่ด้วยว่า B ติดหนี้ทางความรู้สึกกับ O จะเข้ามาช่วยดันเอาไว้
> > >>> > > เพราะ B ไม่ชอบให้ใครโดนด่าอยู่ฝ่ายเดียว O
> > >>> > > ด้วยกันจะเข้าใจแต่ไม่อยากโดนร่างแหไปด้วย
> > >>> > > ถ้าจัดลูกโซ่จะเป็น
> > >>> > > A > ชนะ > O > ชนะ > B > ชนะ > A
> > >>> > > แล้ว AB หายไปไหนหล่ะ AB
> > >>> > > ก้ยืนมองยักไหล่ว่าการทะเลาะกันของพวกนี้ไร้สาระสิ้นดี
> > >>> > >
> > >>> > > ถ้าฝนตกหล่ะจะทำยังไง
> > >>> > > O จะรอจนฝนหยุดตกจะเปียกทำไมหล่ะ ค่อยไปก็ได้คนอื่นน่าจะเข้าใจนะ
> > >>> > > ว่าเด๋วเปียกไม่สบายอีกน่ะ
> > >>> > > B ดูก่อนว่าโอเอาไง หรือว่าตัวเองรีบไหมเชคอารมณ์ก่อน
> > >>> > > A รีบออกไปเลยแม้จะไม่รีบมากขนาดนั้นก็เถอะ
> ถ้าให้ยืนเฉยๆกูจะเบื่อตาย
> > >>> > > AB ดูทุกคนก่อนถ้า A ออกไปแล้วเปียกหรือน้ำท่วมมันสูงจนรองเท้าเปียก
> > >>> > > ก็ยืนรอจังหวะ ซากว่านี้ แต่คงไม่อยากอยู่จนคนสุดท้าย
> > >>>
> > >>> ความรักของคนเหล่านี้หล่ะ
> > >>> > > O จะฝันอยากได้คนในเสปค
> แต่กลับอยู่กับคนที่ชิลแล้วอยู่ด้วยกันได้จริงๆ
> > >>> > > และค่อนข้างให้คนรักเอาอกเอาใจ ส่วนมากจะได้ Bเป็นแฟน
> > >>> > > ถ้าได้ O ด้วยกันเป็นแฟนจะพูดกันน้อย และ O
> > >>> > > จะพาแฟนไปรู้จักกับเพื่อนด้วย
> > >>> > > เพราะ O ชอบให้เพื่อนอยู> ่ปนกะแฟนO ชอบสังคมแบบ Multi
> > >>> > > เวลามีปัญหากับคนรักที่กรุ๊ปโอง้อรัวรัว พวกนี้แพ้คนที่มาถึงที่
> > >> เอาใจถึงใจ
> > >>> > >
> > >>> > > B จะไปหาคนที่ชอบเท่านั้น B ชอบออกตัวจีบก่อนด้วยแต่ในทางกลับกัน
> > >>> > > จะมีชีวิตแบบในหนังน้ำเน่าได้
> > >>> > > เช่นแรกๆไม่ชอบคนนี้แต่ถ้ามาจีบๆก้จะยอมด้วยความใจอ่อน
> > >>> > > แบบพ่อแง่แม่งอนทะเลาะกันน่ารัก งอนๆแล้วล้มไปจุ๊บกันได้เชิ้บๆ
> > >>> > > B ชอบติดแฟนอยู่เป็นช่วงๆ บางทีก็จะหายไปกับแฟนเลย
> > >>> > > แต่ก็จะโผล่มาหาเพื่อนฝูงบ้างเป็นช่วงๆสลับกันไปตามสถานการณ์
> ความสำคัญ
> > >>> > > B ชอบใช้เวลาอยู่กับคนรักแบบติดเอาชีวิตไปมอบให้เลยแต่แค่พักเดียวนะ
> > >>> > > มีวิธีการง้อคนรักแบบ B คือการใช้ความสัมพันธ์ความผูกพัน
> > >>> > > ความหลังวิธีนีได้ผลยิ่งนัก
> > >>> > > B เป็นพวกรักแบบบ้ายุ ยุขึ้นะเนี่ย !
> > >>> > >
> > >>> > > A ใช้เวลาดูคนรักพอสมควร A สารตะวางแผนแล้วว่าคนนี้ บ้านอยู่ไหน
> > >>> > > เรียนอะไรทำงานที่ไหน มีโอกาสจะได้มีชีวิตด้วยกันสูงไหม
> > >>> > > สืบมาเป็นอย่างดี
> > >>> > > A จะใส่ใจคนรักมากชอบทำเซอร์ไพรส์ คิดจุกๆจิกๆทำนี่ ทำนั่นให้
> > >> แต่กลับกันA
> > >>> > > มักเวลาเกิดปัญหากับคนรักจะรุนแรง ยืดเยื้อเรื้อรัง
> > >>> > > เพราะต้องการเอาชนะด้วยตัวเองถูกเสมอ ถ้าเราจะง้อคนรักแบบ A
> > >> ต้องยอมรับผิด
> > >>> > > แล้วให้เค้ารู้สึกเหนือกว่า A
> > >>> > >
> จะเลิกกับคนรักเพื่อไปคบคนใหม่ต่อไปต่อเมื่อมีคนที่ดีกว่าเข้ามาเท่านั้น
> > >>> > > A ชอบจัดเตรียมวางแผนให้คนรักช่วยเหลือด้านหน้าที่การงาน
> > >>> > > การบ้านให้เสมอ
> > >>> > > ประมาณว่าคนของฉันต้องเริ่ดเสมอเด๋วคนอื่นมองไม่ดี
> > >>> > > จริงๆคิอทำอะไรก้แคร์สายตาคนอื่นเสมอมากกว่า
> > >>> > >
> > >>> > > AB มีโลกส่วนตัวของตนเองและคนรักสูง
> > >>> > > ไม่สนใจโลกภายนอกหรือสายตาความคิดคนอื่นมากนัก
> > >>> > > ไม่ชอบพูดถึงเรื่องความรักตัวเอง ถ้าเราเห็นคนจูบกันในรถไฟฟ้า
> > >>> > > กอดกันไม่สนใจโลกในห้างสรรพสินค้า นั่นหล่ะพวก AB
> > >>>
> > >>> การเงินของแต่ละกรุ๊ป
> > >>> > > O ไม่มีแผนการใช้เงินมากเท่าไหร่นัก จริงๆแล้วเป็นพวกเจ้าสัว
> > >>> > > ถ้าโดนยุให้ซื้อของเจอคนรอบข้างบิ้วก็หมดตัว
> > >>> > > ใช้เงินเกินตัวและแพงไม่ว่าขอให้ชอบ
> > >>> > > B
> > >> กลัวโดนด่าเวลาซื้อของชอบซื้อของแปลกๆให้เหตุผลทางใจสูงไว้ก่อนการใช้งาน
> > >>> > > แปรปรวนได้ง่ายจากคำคนรอบข้าง
> > >>> > > A วางแผนมาเป็นอย่างดี และต้องจำเป็นเท่านั้นถึงจะซื้อ
> > >>> > > นอกจากนี้ยังดูหลายร้าน เตรียมคิดหาส่วนลดให้ได้มากที่สุด
> > >>> > > AB ซื้อของไปในทางเดียวกันหมด จะซ้ำก้ไม่ว่า
> > >> จะเหมือนกันมากแค่ไหนก็ไม่ว่า
> > >>> > > จะมีของซ้ำแนวเดียวกันเยอะมาก
> > >>>
> > >>> การแบ่งงาน
> > >>> > > O งานหยิบย่อย เนื้องานจริงๆ เช่นบริษัทผ้าคือคนฟอกผ้าเลือกสี
> > >>> > > พวกคนส่วนมากในบริษัท
> > >>> > > B งานประชาสัมพันธ์มาเกตติ้ง เอนเทอร์เทน
> > >>> > > A เป็นออแกไนซ์เซอร์ MD ฝ่ายบุคคล หัวหน้าแผลก หัวหน้าห้อง
> > >>> > > AB ประธานบริษัท คนออกเงิน
> > >>>
> > >>> การรับฟัง
> > >>> > > O ฟังคนอื่นมากไป นอยเพราะคำวิจารณ์ สูญเสียความเป็นตัวตน ชอบตามใจ
> > >>> > > B มีทางที่มั่นคงของตัวเอง เป็นคนดื้อด้านพอสมควร ถ้าโดนลุมจะยอมแพ้
> > >>> > > A ดื้อเงียบ แต่เรียนรู้จากประสบการณ์
> > >>> > > AB คาดเดาไม่ได้

 

วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2554

Maintenance of the life of God. การดำรงพระชนม์ชีพอยู่ของพระเจ้า

1.1 Maintenance of the life of God."Who came to the Lord. He must believe that He is alive. He gave a gratuity to all who seek Him "(Hebrew 11:6) content of the lesson will help you to God. Must first be believed. "God lives" we are not concerned with evidence that confirms our faith in the Holy Crown of the living God. To explore the complex structure of the body (cp. Ps.139: 14) and a pronounced in flowers. Deliberation Brown's vast emptiness of the night with the clear. These reflections on life and many others believe that this makes God into something incredible. Believing that God would take more faith to believe that God exists. If the purpose of God is without form and a description of the universe. This is reflected in the lives of those who do not believe in God. When this occurs, it is not surprising that most people believe in different gods. Even in a society that is God given.But there are differences between the belief that a superior power. With the belief that God will give rewards to those who serve him as Hebrew 11:6, the point that we are."He must believe that He is alive.AndHe gave a gratuity to all who seek Him. "Most of the narrative passages of Scripture in the history of Israel's God. Issue that is discussed often is. Belief that God holds the Jews living there were not as faithful to what He has promised. Jews have been told by Moses, the great leader of his people. "We know it today. And deliberation in mind. The LORD is a God in heaven above. And on the earth below can have any other gods before me. So you keep the rules. Act of God "(Deuteronomy 4:39, 40).It is said that the same issues. We recognize that the Spirit of God is the life. Does not mean that we have been welcomed by Lord automatically. If we seriously believe that we have a Creator, we should "keep the rules. Act of God "This lesson is intended to explain the law. And how to comply with the law. When you read the Bible. The more we can believe that. God is life."If that happens, it's because the hearing. And hearing occur because the announcement of Christ "(Romans 10: 17).As in the book of Isaiah 43:9-12 makes clear that the understanding of the prophecies of God. Let us know. "I am the Lord" (Isaiah 43:13) that the name of God. "We are who we are" is a perfect (Exodus 3:14) The apostle Paul came to town named Berea (Berea), currently in Greece to the north. Normally, Paul would preach the gospel ('good news') of God, but the people in the city will bow to the teachings of Paul. "He's adherence to the Word of God. And searched the Scriptures daily. I know them to be true or not. Therefore, they have many more "(Acts 17:11,12) faith they were born of an open mind. And search the Scriptures with the system. ('Them') and regular ('every day') and is therefore not the result of faith in God instantly I believe that with joint replacement surgery. Without any relation to the word of God. Otherwise would not participate in the formation of the Billy Graham campaign. Or assembly in the open season in Costa Resort as the "faith" search the Scriptures, how long will it take in this case? The lack of a true believer in the Bible is empty, which is caused by the "Christianity" will be found after the turn to faith in God. And the reason is that many people turn away from the teachings of Christianity (Evangelical Movement).This lesson aims to determine the appropriate form in the Bible in a systematic search. So you may believe the same. So in the gospel are so often focused on. The relationship between listening to the gospel. With the real faith.I had to pay him for the pure truth.- "Many of the Corinthians hearing Paul go on. I trust and get baptized "(Acts 18:8).- We "hear the gospel and believe" (Acts 15:7).- "We have announced that they will. And you can believe it "(1 Corinthians 15:11).- The advantage is that this "seed" includes the word of God (Luke 8:11); Have faith as a grain seed (Luke 17:6), Jesus of acceptance. "The cause of faith" (Romans 10:8), "were the words of faith. And with the great principle that you can keep it "(1 Timothy 4:6), the mind is open to belief in God and the Word of God (Galatians 2:2 cp. Hebrews 4:. 2).- The apostle John referred to it from God. "He spoke the truth. So that you may believe "(John 19:35) and His Word is the" truth "(John 17:17) - which we believe.