วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Why is 13 an unlucky number?


Answer:
There are a few explanations of just why 13 has developed the reputation for being unlucky:

  • In Christianity, the Last Supper had thirteen attendants, during which Jesus Christ revealed that one of the guests would betray him. Legend tells that afterward one of the Apostles, Judas Iscariot, did so and turned Jesus over to the Romans. This led to the crucifixion of Jesus. It is also claimed that Judas sat at the thirteenth place at the Last Supper's table. As a result of this betrayal, the number 13 has maintained a bad reputation and has a superstitious characteristic in Christian culture.
  • Bearing some similarity to the Christian tradition, in Norse lore, a banquet of twelve deities was interrupted by the evil god Loki, making thirteen the number of gods present when the nigh-immortal god Balder was killed by an arrow made from mistletoe (his only weakness). His death marked the beginning of Ragnarok, the end of everything.
  • Thirteen is the number of circles used in Kaballah's Metatron's Cube. Although this glyph was typically used as a protective ward against demons and evil, its use in alchemy and magic may have led to a darker association with the form, much as a pentagram or pentacle has.
  • In Meso-American divination, a trecena is a 13-day period used in pre-Columbian Meso-American calendars to mark the occurrence of important cycles of fortune/misfortune.
  • The ancient Persians, assigning the twelve constellations of the Zodiac to the months of the year, believed that each sign ruled over Earth for a millennium. After the passing of this thirteenth era, chaos would ensue. The Persian tradition of Sizdah Bedar refers to this belief, in which people leave their houses to avoid bad luck on the thirteenth day of the Persian Calendar.
  • The foiled Gunpowder Plot that threatened 17th Century England's government consisted of thirteen original conspirators.
  • Apollo 13 was the only unsuccessful mission by the United States of America's NASA program to land a mission on the moon, although fortunately all of the craft's crew returned to Earth safely.
  • Traditionally thirteen is reported as the number of steps leading up to a gallows.
  • In numerology, twelve is considered the number of completeness and thus thirteen was seen as disturbing that balance,
  • Witches were claimed to gather in groups (a coven) of twelve and during such ceremonies, the devil would appear as the thirteenth attendee. 
  • On Friday, 13 October 1307, Philip IV of France ordered the arrest of the (Christian) Knights Templar and seizure of all of their assets based on accusations of various forms of heresy. Some were later tortured and then burned at the stake. This is commonly believed to serve as the origin for the observance of Friday the 13th as an unlucky day, however, no record of the date's importance as a superstitious holiday is believed to exist before the 19th century.
  • Friday the 13th is also theorized to originate from the claim that Jesus Christ was crucified on a Friday. 


In some traditions, however, thirteen is actually a lucky number:

  • In Judaism, thirteen is the age at which a boy achieves Bar Mitzvah. 
  • Likewise in Judaism, the Torah states that God has 13 Attributes of Mercy (also shared in some Christian traditions).
  • To Sikhs, thirteen is a special number because of the legend of Guru Nanak Dev.
  • The thirteenth day following a death is the day on which a memorial feast is held for the peace of the departed soul in Hinduism.
  • Thirteen has special importance in the United States because it was founded with the thirteen original colonies and can be found used in a number of patriotic themes and articles, such as The Great Seal of the United States.
  • The thirteen lunar cycles led to widespread belief in the number's importance in pagan cultures, one which diminished as Christianity spread and began to dismantle, discredit or assimilate pagan traditions. 

วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ประโยชน์และโทษของชา


ข้อดีของชาเขียว......

ต้านโรคไขข้ออักเสบ กล่าวกันว่าชาเขียวช่วยป้องกันโรคข้ออักเสบรูห์มาติก (rheumatoid arthritis) ที่มักจะเกิดกับสตรีวัยกลางคน อาการของโรคโดยทั่วไปคือมีอาการของการอักเสบบวมแดง ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและข้อต่อ
ลดระดับคอเลสเทอรอล สารแคเทชินในชาเขียว ช่วยทำลายคอเลสเทอรอล และกำจัดปริมาณของคอเรสเทอรอลในลำไส้ และ ชาเขียวยังช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่พอดีอีกด้วย
ควบคุมน้ำหนัก ถ้าคุณกำลังพยายามลดน้ำหนักอยู่ การจิบชาเขียวสามารถช่วยได้ดีทีเดียว จากการศึกษาโดยมหาวิทยาลัยเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์พบว่า ชาเขียวช่วยเร่งให้ร่างกายมีการเผาผลาญอาหารและไขมันมากขึ้น
กลิ่นปากและแบคทีเรีย ป้องกันฟันผุ การดื่มชาเขียวนอกจากจะทำให้ร่างกายอบอุ่นแล้ว ยังช่วยทำให้ลมหายใจสดชื่นและป้องกันการติดเชื้อได้ด้วย อันที่จริงแล้วพบว่าชาเขียวเป็นตัวช่วยยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปาก ต่อสู้กับเชื้อไวรัสในปากโดยกำจัดเชื้อแบคทีเรีย

ป้องกันเชื้อไวรัสเอชไอวี ข้อมูลในวารสารวิทยาภูมิคุ้มกันทางการแพทย์ และโรคภูมิแพ้ฉบับประจำเดือนพฤศจิกายนตีพิมพ์ไว้ว่า สารแคเทชินในชาเขียวโดยเฉพาะพระเอกตัวเก่ง EGCG มีสรรพคุณป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า ชาเขียวเข้มข้นช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสเอชไอวี จับตัวกับเซลล์เม็ดเลือดขาว ชนิดที่มีความสำคัญต่อภูมิคุ้มกันในร่างกายของคนเราที่เรียกว่า "ทีเซลล์" (T cells) ซึ่งเป็นด่านแรกที่ทำให้มีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีได้ ถ้ามีผลการศึกษาเพิ่มเติมยืนยันผลการวิจัยดังกล่าวนี้ นักวิจัยกล่าวว่าจะนำสารในชาเขียวมาใช้ทดลองในการผลิตยาชนิดใหม่ เพื่อป้องกันการลุกลามของเชื้อเอชไอวี


 ประโยชน์ของชาเขียว....

ทำความสะอาดพรม นอกจากใบชาแห้งจะเป็นยาดับกลิ่นได้ดีแล้ว ยังมีคุณสมบัติต่อต้านหรือหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียได้ด้วย
ก่อนทำความสะอาดพรมด้วยเครื่องดูดฝุ่น ให้โปรยใบชาแห้งบนพรม ให้ทั่วทิ้งไว้สักครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงดูดฝุ่นรวมทั้งใบชาทั้งหมด กลิ่นหอมสะอาดของใบชาเขียว0จะช่วยทำให้ห้องสดชื่น รวมทั้งทำความสะอาดพรมด้วย
ทำความสะอาดเครื่องครัว เราสามารถใช้กากชาเขียวดับกลิ่นคาวต่าง ๆ ได้ โดยหลังจากใช้เขียงประกอบอาหารแล้ว ให้นำไปล้างน้ำ หลังจากนั้นเกลี่ยใบชาเปียกให้ทั่วเขียง ทิ้งไว้สักพักใหญ่แล้วจึงใช้ใบชาขัดถูเขียงให้ทั่ว และล้างออกด้วยน้ำสะอาด น้ำชาต้มก็สามารถนำมาใช้ล้างทำความสะอาดเขียงและอุปกรณ์เครื่องครัวอื่น ๆ ได้เช่นกัน
ป้องกันสนิม ใช้ใบชาขัดถูหม้อ หรือกะทะเหล็กป้องกันสนิมได้ สารแทนนิน (tannin) ในใบชาจะจับตัวกับเหล็กและสร้างสารเคลือบบาง ๆ บนพื้นผิวหม้อหรือกะทะเพื่อป้องกันสนิม
น้ำยาบ้วนปาก กลั้วปากด้วยชาเขียวช่วยทำให้ลมหายใจหอมสดชื่น และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียในปาก สารฟลูออรีนในชาเขียวช่วยทำให้ฟันแข็งแรง ป้องกันฟันผุและเหงือกอักเสบ ไม่จำเป็นต้องใช้ชาเขียวชงครั้งแรกกลั้วปาก ดื่มชาให้ชื่นใจก่อน หลังจากนั้นคุณสามารถใช้ชาเขียวชงครั้งที่สามหรือสี่ได้
ผสมน้ำอาบ นำถุงชาใช้แล้วหรือใบชาใส่ถุงผ้าฝ้ายบาง ๆ มัดให้แน่นแช่ทิ้งไว้ในอ่างอาบน้ำอุ่น น้ำอุ่นผสมน้ำชาจะทำให้คุณรู้สึกสดชื่น
หมอนใบชา กลิ่นหอมบาง ๆ จากใบชาจะช่วยให้เราหลับสบายขึ้น การดูแลรักษาทำได้ง่ายโดยนำหมอนที่ทำจากใบชาออกตากในที่ร่ม เพื่อระบายอากาศเป็นประจำ สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง
เป็นเครื่องหอม นำใบชามาเผาเป็นเครื่องหอมจะให้กลิ่นหอมมาก
 
โทษของชาเขียว....ชาเขียวจะมีประโยชน์ แต่ชาที่เข้มข้นเกินไป ก็อาจจะมีโทษได้เช่นกัน
1.ในผู้ป่วยที่เป็นโรคไทรอยด์ จะมีอาการกระสับกระส่าย ใจเต้นเร็ว มือสั่นอยู่แล้ว การดื่มชาจะทำให้มีอาการเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น

2.หญิงมีครรภ์ ควรงดดื่มเพราะจะส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์

3.ในรายที่เป็นผู้ป่วยโรคหัวใจ ควรงดดื่มชา เพราะกาเฟอีนจะทำให้หัวใจทำงานไม่ปกติ คือเต้นเร็วขึ้น (หากชอบดื่มชา ก็อาจเลือกชาชนิดที่สกัดกาเฟอีนออกแล้วก็ได้)
0
4.คนที่เป็นโคกระเพาะอาหารอักเสบ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มชา เพราะชาจะกระตู้นให้ผนังกระเพราะอาหารหลั่งน้ำย่อยซึ่งมีสภาวะเป็นกรดมามากกว่าปกติ ทำให้อาการอักเสบยิ่งรุนแรงขึ้น อย่างไรก็ตามในกรณีที่เป็นโรคกระเพาะแต่เลิกดื่มชาไม่ได้ การเติมนมก็มีประโยชน์ เพราะนมยับยั้งแทนนินไม่ให้ออกฤทธิ์กระตุ้นน้ำย่อยในกระเพราะอาหาร

5.การดื่มชาแทนอาหารเช้าจะทำให้ ร่างกายขาดสารอาหาร จึงควรเติมนมหรือน้ำตาลอาจเพิ่มเพิ่มคุณค่าได้บ้าง และควรกินอาหารชนิดอื่นร่วมด้วย

6.การดื่มชาในปริมาณที่เข้มข้นมากๆจะทำให้เกิดอาการท้องผูก และนอนไม่หลับ

7.ไม่ควรดื่มชาที่ร้อนจัดมากๆเพราะจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อทางเดินอาหาร ระคายเคืองต่อเซลล์ จะทำให้เกิดโรคมะเร็งสูง

8.การดื่มชาเขียวในปริมาณสูงอาจมีผลในการลดการดูดซึมวิตามิน B1 และ ธาตุเหล็กได้

9.ในกรณีที่ดื่มชาเพื่อต้องการเสริมสุขภาพและป้องกันมะเร็ง การเติมนมในชาก็ไม่ได้ผล เพราะฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเกิดจากสารแทนนิน แต่การเติมนมลงไปนมจะไปจับกับสารแทนนิน ไม่ให้ออกฤทธิ์
แม้จะมีการวิจัยต่างๆ มากมายที่ระบุว่าสาร EGCG[5] ในคาเทซินซึ่งมีอยู่ในชาจะสามารถลดอัตราการเกิดมะเร็งได้ถึง 50% แต่การทดลองบางแห่งหนึ่งก็พบว่าการ EGCG เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดมะเร็งในสัตว์อีกชนิดหนึ่ง เพราะความสลับซับซ้อนของเอมไซม์และฮอร์โมนของสัตว์ที่แตกต่างกัน ฉะนั้นการดื่มชาเพื่อสุขภาพที่แท้จริงจึงควรอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะพอดี

วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

นิโคเลาส์ โคเปอร์นิคัส




9 กุมภาพันธ์ 2016 (ค.ศ.1473) วันเกิดของ “นิโคลาส โคเปอร์นิคัส NICOLAUS COPERNICUS” นายแพทย์ นักคณิตศาสตร์ นักดาราศาสตร์ เป็นชาวโปล เกิดที่เมืองตุรัน ประเทศโปแลนด์ ในสมัยของเขานั้นนักดาราศาสตร์ทั้งหลายเชื่อตามทฤษฎีที่ “ปโตเลมี” ตั้งไว้ราว 1,400 ปีมาแล้วว่า โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาลและไม่เคลื่อนที่ แต่ “โคเปอร์นิคัส COPERNICUS” เป็นบุคคลแรกที่กล่าวถึงทฤษฎีเกี่ยวกับการหมุนของระบบสุริยะว่า ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของสุริยะจักรวาล มีโลกและดาวเคราะห์ดวงอื่นๆหมุนอยู่โดยรอบ จึงถือกันว่าเขาเป็นบิดาแห่งดาราศาสตร์สมัยใหม่ “โคเปอร์นิคัส COPERNICUS” ศึกษาวิชาแพทย์ รวมไปถึงคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์ที่คราเครา หลังสำเร็จการศึกษาเขาได้เดินทางไปยังอิตาลี ที่นั่นเขาศึกษาเกี่ยวกับดาวฤกษ์และดาวเคราะห์ และทดลองเรื่องวิทยาศาสตร์แนวใหม่ว่าด้วยการมองเห็น เขาสร้างกล้องส่องทางไกลง่ายๆขึ้นเป็นชิ้นแรก แม้จะไม่ได้ใช้มันในการส่องท้องฟ้าก็ตาม ในอีกเกือบหนึ่งศตวรรษถัดมา “กาลิเลโอ GALILEO” เป็นผู้ที่ใช้กล้องโทรทัศน์ส่องดูท้องฟ้าเป็นคนแรก

เมื่อกลับสู่ “พอเมอราเนีย”ในปี ค.ศ.1505 เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแพทย์แทนลุงของเขา นักดาราศาสตร์ตะวันตกเชื่อตามทฤษฎีของ “ปโตเลมี” ที่คิดขึ้นในปี 150 และมีพื้นฐานจากหลักของ”อริสโตเติล”มาตลอดคือ เชื่อว่าดวงอาทิตย์ ดาวฤกษ์ และดาวเคราะห์ ล้วนหมุนรอบโลก และโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล จนกระทั่งเขาพิสูจน์ว่า ที่จริงแล้วเป็นตรงกันข้าม การศึกษาของ”โคเปอร์นิคัส COPERNICUS”ในช่วง 25 ปีแรกทำให้เขาเชื่อว่าการทำงานของจักรวาลนั้นไม่ซับซ้อนอย่างที่นักดาราศาสตร์ยุคกลางเคยคิดกัน และดวงอาทิตย์ก็เป็นศูนย์กลางของสุริยะจักรวาล ในขณะที่โลกและดาวเคราะห์อื่นๆ หมุนรอบดวงอาทิตย์ ผลงานของเขาชื่อ ON THE REVOLUTION OF THE CELESTIAL SPHERES เสร็จเมื่อปี 1530 แต่เนื่องจากศาสนจักรโรมันคาทอลิกเป็นปรปักษ์กับทฤษฎีของเขา หนังสือจึงไม่ได้ตีพิมพ์จนกระทั่งปีที่เขาเสียชีวิต ศาสนจักรยังคงปฏิเสธการค้นพบของเขาต่อมานานถึง 100 ปี เขาถูกหาว่าเป็นพวกนอกรีต ศาสนจักรเปลี่ยนความเห็นในปลายศตวรรษที่ 17 หลังจากการสังเกตของ “กาลิเลโอ” และทฤษฎีของ”โยฮันเนส เคปเลอร์ KEPLER” ที่ว่าดาวเคราะห์เคลื่อนที่เป็นวงรีได้ยืนยันทฤษฎีของ”โคเปอร์นิคัส COPERNICUS”

โคเปอร์นิคัส มิได้ใช้ความรู้ความสามารถทางการแพทย์ที่ไดศึกษามาแม้แต่น้อย แต่เขาเคยเป็นพระอยู่ระยะหนึ่งและเป็นอาจารย์สอนคณิตศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแห่งโรม ประเทศอิตาลี ก่อนที่จะทุ่มเทศึกษาค้นคว้าทางดาราศาสตร์อย่างจริงจัง โคเปอร์นิคัสเป็นนักดาราศาสตร์ที่ไม่เคยใช้กล้องดูดาวเลย เพราะว่าสมัยนั้นยังไม่มีการคิดค้นขึ้นใช้ เขาจึงสร้างเครื่องมือสำหรับใช้ศึกษาดวงอาทิตย์และดวงดาวทั้งหลายขึ้นเอง จากนั้นก็ใช้อุปกรณ์นี้เฝ้าสังเกตการเคลื่อนที่ของเทหวัตถุบนฟากฟ้า กลางวันสังเกตดวงอาทิตย์ กลางคืนสังเกตดวงดาว พร้อมกับจดบันทึกไว้อย่างละเอียด โคเปอร์นิคัสเฝ้าสังเกต ศึกษาค้นคว้า และทดลอง ด้วยความอุตสาหะวิริยะ อย่างอดทนอยู่นานถึงสามสิบปี จึงได้รวบรวมบันทึกการศึกษาค้นคว้าเขียนขึ้นเป็นหนังสือชื่อ "การปฏิวัติวงโคจรของดวงดาวในจักรวาล" ซึ่งกล่าวถึงทฤษฎีใหม่เกี่ยวกับระบบสุริยะจักรวาลที่เข้าค้นพบว่า "ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาลโดยมีโลกและดาวเคราะห์ทั้งหลายเป็นบริวารโคจรรอบดวงอาทิตย์" นับว่าขัดแย้งกับความเชื่อในสมัยนั้นว่า "โลกเป็นศูนย์กลางของจักร วาล" และเป็นความเชื่อทางศาสนาด้วย และสมัยนั้นประเทศในยุโรปอยู่ใต้อำนาจอันแข็งแกร่งของ ศาสนาจักร เพราะฉะนั้นความเชื่อและความคิดเห็นใดๆ ที่ขัดแย้งกับความเชื่อทางศาสนาจึงเป็นความผิดอย่างร้ายแรงด้วยเหตุนี้ โคเปอร์นิคัสนี้จึงไม่กล้านำผลงานออกเผยแพร่ จนกระทั่งเพื่อนสนิทคนหนึ่งจัดการนำไปพิมพ์ได้สำเร็จก่อนหน้าที่เขาจะเสียชีวิตเพียงไม่กี่ชั่วโมง ถึงกระนั้น เมื่อหนังสือของเขาออกเผยแพร่ ทางศาสนาจักรได้ประกาศห้ามผู้คนเชื่อตามความเห็นในหนังสือของเขามิฉะนั้นจะถูกลงโทษอย่างหนัก

นิโคลาส โคเปอร์นิคัส ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1543 อายุได้ 70 ปี เขาได้รับความยกย่องว่าเป็นผู้ค้น พบตำแหน่งของโลกที่ถูกต้องแท้จริง นอกจากนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้มีความวิริยะอุตสาหะสูงยิ่ง สมกับเป็นบุคคลสำคัญของโลกผู้หนึ่ง

วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

มาอัพสวยด้วยแบบ "ประหยัด" กันเถอะ



Lemon

มะนาวลูกเล็กๆ สีเขียวๆ ที่คุณแม่ชอบไว้ทำกับข้าวไม่ได้มีดีเพียงแค่ช่วยปรุงอาหารให้มีรสเปรี้ยวเท่านั้นนะคะ สาวๆ รู้หรือไม่ว่ามะนาวเนี่ยมีประโยชน์มากมายจริงๆ น้ำมะนาวช่วยแก้อาการไอและช่วยกำจัดเสมหะ ช่วยลดอาการแน่นท้อง จุกเสียดได้ด้วยค่ะ
เด็กดีดอทคอม :: อัพสวยราคา “ประหยัด”

นอกจากนี้ ให้สาวๆ ลองใช้มีดผ่ามะนาวให้ได้ครึ่งลูก แล้วนำมา ขัดๆ ถูๆ บริเวณข้อศอก หัวเข่า ตาตุ่ม และรักแร้ น้ำมะนาวจะช่วยทำให้ผิวตรงนั้นนิ่มขึ้น และช่วยขจัดคราบขี้ไคลออกไปได้ด้วย แถมยังช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดรอยดำ และช่วยแก้สิวฝ้าได้ด้วยค่ะ เห็นมั้ยคะว่ามะนาวนี่มีดีสารพัดประโยชน์จริงๆ สาวๆ อย่าลืมแอบแวะเข้าไปในครัว แล้วขอมะนาวคุณแม่มาซักสองลูก เอามาขัดๆ ถูๆ ที่ตัวดูจะคะ จะได้มีผิวสวยๆ กัน ^^


Honey

ไหนๆ ที่บ้านของสาวๆ คนไหนมีน้ำผึ้งไว้ติดห้องครัวบ้างคะ?? บ้านพี่เตยมีเป็นขวดใหญ่เลยค่ะ เพราะคุณแม่ชอบทานนมจืดผสมน้ำผึ้งค่ะ วันว่างๆ คุณแม่ก็จะชวนพี่เตยมาพอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง พอกเสร็จแล้วหน้านิ่มอย่าบอกใคร > <นอกจากน้ำผึ้งจะให้ความหวานและให้ความอร่อยแล้ว น้ำผึ้งยังมีคุณสมบัติช่วยต้านแบคทีเรียและลดการติดเชื้อ ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดสิวนั่นเองค่ะ  นอกจากนี้น้ำผึ้งยังช่วยทำความสะอาดรูขุมขน ทำให้ผิวสะอาดหมดจด และยังทำให้ผิวชุ่มชื้นด้วยค่ะ ยิ่งสาวๆ ที่มีอายุ 30+ น้ำผึ้งยิ่งมีความสำคัญค่ะเพราะน้ำผึ้ช่วยชะลอความแก่ ไม่ทำให้ผิวเกิดรอยเหี่ยวย่นและริ้วรอยด้วยค่ะ
เด็กดีดอทคอม :: อัพสวยราคา “ประหยัด”

สาวๆ ลองใช้น้ำผึ้งพอกหน้าซัก 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำแบบนี้สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง รับรองว่าหน้าจะใสกิ๊งเลยค่ะ (บางคนอาจจะเอาโยเกิร์ต มะนาว หรือนมสด ผสมกับน้ำผึ้งก็ได้นะคะ)


Egg

พี่เตยเชื่อว่าบ้านทุกบ้านส่วนใหญ่จะมีไข่ไก่ติดตู้เย็นไว้เสมอ บ้านพี่เตยก็เช่นกันค่ะ คิดไม่ออกว่าจะกินอะไรก็คิดถึงเมนูไข่เป็นอันดับแรก ^^ ไข่ไก่เป็นอาหารที่มีโปรตีนสูงมาก ทำให้เล็บกับเส้นผมมีสุขภาพดี ช่วยบำรุงจอประสาทตา ไม่ทำให้เป็นโรคต้อกระจก แถมยังช่วยป้องกันโรคมะเร็งเต้านมในผู้หญิงด้วยค่ะ
เด็กดีดอทคอม :: อัพสวยราคา “ประหยัด”

สำหรับสาวๆ ที่อยากให้ผิวหน้ากระชับ ลองนำไข่มาตีให้ฟู แล้วนำมาพอกหน้าและคอ ทิ้งไว้จนแห้ง แล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำสะอาดค่ะ ส่วนใครที่อยากกระชับรูขุมขน ให้ใช้ ไข่ขาวล้วนพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นค่ะ วิธีนี้จะช่วยกระชับรูขุมขนและช่วยรักษาสิวด้วยค่ะ


นอกจากนี้สาวๆ สามารถนำไข่ไก่ผสมกับอย่างอื่นแล้วนำมาพอกหน้าได้ด้วยนะคะ ผสมกับข้าวโอ้ตก็ได้ (ช่วยลดอาการหน้ามัน) ผสมกับน้ำมันมะกอกก็ได้ (สำหรับคนผิวแห้ง) ผสมกับโยเกิร์ตก็ได้เช่นกันค่ะ (ช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใส)


Milk

นมถือว่าเป็นอาหารที่สำคัญมากกกกสำหรับวัยรุ่นแบบสาวๆ NUGIRL เลยค่ะ เพราะนมมีโปรตีนและแคลเซียมสูง ดื่มง่าย ช่วยบำรุงร่างกายและกระดูกให้แข็งแรง ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่ และช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุนด้วยค่ะ (การดื่มนมช่วยให้สูงด้วยนะ) ใครไม่ชอบดื่มนม ต้องปรับพฤติกรรมแล้วนะคะ เพราะนมสำคัญมากกับเด็กๆ ในช่วงวัยรุ่นนั่นเองจ้า


นอกจากนมจะมีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว นมยังมีประโยชน์กับผิวพรรณของเราด้วยค่ะ นมมีส่วนช่วยสร้างเซลล์ผิว มีกรดแลคติคซึ่งช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วทำให้ไม่เกิดการอุดตันในรูขุมขน และยังมีวิตามินซึ่งช่วยป้องกันการติดเชื้อและช่วยชะลอความแก่ของผิวด้วยค่ะ
เด็กดีดอทคอม :: อัพสวยราคา “ประหยัด”

สาวๆ ลอง นำนมมาผสมกับโยเกิร์ต น้ำผึ้ง และน้ำมะนาว พอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออก สูตรนี้จะช่วยขจัดสิ่งสกปรกที่อุดตันอยู่ในรูขุมขนและช่วยรักษาสิวด้วยค่ะ อีกสูตรนึง สาวๆ ลองนำกล้วยสุกมาบดให้ละเอียดแล้วนำมาผสมกับนม พอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วค่อยล้างออก สูตรนี้จะช่วยทำให้ผิวนุ่ม ดูสดชื่น และช่วยรีเฟรชผิวให้ดูมีชีวิตชีวาด้วยค่ะ


Yogurt

โยเกิร์ตอาจจะเป็นอาหารสุดเริ่ดสำหรับการลดความอ้วน แต่จริงๆ แล้วโยเกิร์ตมีดีกว่านั้นค่ะเพราะโยเกิร์ตมีแคลเซียมและโปรตีนสูงกว่านมซะอีก!! ใครที่ท้องเสียลองรับประทานโยเกิร์ตดูค่ะ โยเกิร์ตจะช่วยให้อาการท้องเสียทุเลาลง แถมยังเป็นแหล่งรวมสารอาหารชั้นเลิศทั้งนั้น ทั้งวิตามินบีวิตามินบี12 แคลเซียม ฟอสฟอรัส โปรตีน สังกะสี และโพแทสเซียม แถมช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายด้วยค่ะ
เด็กดีดอทคอม :: อัพสวยราคา “ประหยัด”

นอกจากจะมีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว โยเกิร์ตยังมีประโยชน์มากมายสำหรับผิวด้วยค่ะ เพราะจะช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น ช่วยกำจัดสิว ปรับโทนสีผิวให้ผิวดูกระจ่างใส สาวๆ NUGIRL ลองพอกหน้าด้วยโยเกิร์ตรสธรรมชาติ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น ผิวหน้าจะสดชื่นและนุ่มมากค่ะ > <สาวๆ สามารถนำโยเกิร์ตผสมกับส่วนผสมอย่างอื่นได้นะคะ เช่น น้ำผึ้ง น้ำมะนาว หรือนมก็ได้ค่ะ


Cucumber
แตงกวาเป็นผักไทยๆ หาซื้อง่าย ราคาถูก เอามาทำอาหารได้หลายประเภท แถมยังมีประโยชน์ อุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ กรดอมิโน ช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื้น ลดอาการหน้ามัน ช่วยกระชับรูขุมขนอีกด้วยค่ะ นอกจากนี้แตงกวายังช่วยบรรเทาอาการแสบร้อน ถ้าผิวของสาวๆ ตากแดดจนเกิดอาการไหม้ล่ะก็ ให้ลองเอาแตงกวามาประคบเย็นดูค่ะ รับรองว่าดีขึ้นแน่ๆ ;)
เด็กดีดอทคอม :: อัพสวยราคา “ประหยัด”

สาวๆ ลองนำแตงกวามาบดให้ละเอียด แยกเอากากออกจากน้ำแตงกวา นำน้ำแตงกวามาผสมกับไข่ขาวและน้ำมะนาว ผสมให้เข้ากัน แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด


Tomato

เมื่อเอ่ยถึงชื่อมะเขือเทศ เชื่อว่าต้องมีสาวๆ หลายคนที่ไม่ชอบรับประทานมะเขือเทศเอาซะเลยยยย (รวมถึงพี่เตยด้วยค่ะ > <) แต่จริงๆ แล้วเจ้ามะเขือเทศที่ใครๆ ก็ไม่ชอบเนี่ย มีประโยชน์มากมายจริงๆ มะเขือเทศมีคุณสมบัติช่วยต้านการเกิดมะเร็งลำไส้ ช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด ช่วยแก้อาการความดันโลหิตสูง และยังช่วยเรื่องระบบขับถ่ายอีกด้วยค่ะ
เด็กดีดอทคอม :: อัพสวยราคา “ประหยัด”

สาวๆ ที่มีปัญหาเรื่องรูขุมขนกว้าง ให้ นำน้ำมะเขือเทศผสมกับน้ำมะนาว แล้วนำมาทาตรงบริเวณรูขุมขนที่กว้าง ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำเย็นค่ะ  ส่วนใครที่มีปัญหาเรื่องสิว ให้สไลซ์มะเขือเทศเป็นแผ่นบางๆ แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วค่อยล้างออกให้สะอาดค่ะ
เด็กดีดอทคอม :: อัพสวยราคา “ประหยัด”
Oatmeal
ข้าวโอ้ตถือว่าเป็นอาหารลดความอ้วนที่สุดยอดมากๆ เลยค่ะ เพราะนอกจากจะไม่ทำให้อ้วนแล้ว ยังอุดมไปด้วยประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย ข้าวโอ้ตเป็นธัญพืชที่มีคอเรสเตอร์รอลต่ำ มีโปรตีน เกลือแร่ และวิตามินสูง ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และยังช่วยลดอัตราเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจอีกด้วย

สำหรับสาวที่มีผิวแห้งให้นำข้าวโอ้ตมาผสมกับน้ำผึ้ง ไข่แดง และกล้วยบด แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น ส่วนสาวๆ ที่อยากให้ผิวหน้านุ่มชุ่มชื้นและดูกระจ่างใสให้นำข้าวโอ้ตมาผสมกับนม พอกหน้าทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นค่ะ

ผีดูดเลือด!!! ตัวเป็นๆ ถูกจับได้




ผีดูดเลือด!!! ตัวเป็นๆ ถูกจับได้ พบ ชีวิตสุดรันทด

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ชายชาวตุรกีไม่เปิดเผยชื่อรายหนึ่งมีพฤติกรรมเหมือน ‘ผีดูดเลือด’ หรือ ‘แวมไพร์’ โดยดื่มเลือดของตัวเองจนติด จากนั้นออกล่าเหยื่อโดยแทงคนอื่นเป็นแผลเพื่อดื่มเลือด
แพทย์ในตุรกีเปิดเผยถึงพฤติกรรมของชายคนนี้ว่า เขากลายเป็น ‘แวมไพร์’ เพราะได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ ทั้งจากการสูญเสียลูกสาววัย 4 เดือน และเห็นการฆาตกรรมต่อหน้าต่อตา 
รายงานจากวารสารจิตบำบัดระบุว่าเขาเริ่มดื่มเลือดมนุษย์ โดยใช้มีดโกนกรีดที่แขน หน้าอกและท้อง แล้วใช้ถ้วยรองเลือดเพื่อดื่มจนติดการดื่มเลือด 
จนบางครั้งต้องให้พ่อไปซื้อมาจากธนาคารเลือดแล้วนำมาดื่ม แล้วพัฒนาไปถึงขั้นใช้มีดแทงหรือกัดคนอื่นเพื่อดื่มเลือด 
นอกจากนี้รายงานยังระบุว่าเขามีหลายบุคลิกและมีอาการความจำเสื่อม โดยเฉพาะขณะจู่โจมเหยื่อ เขาจะไม่มีสติคิดว่าเขากำลังทำอะไรและเหยื่อเป็นใคร และจำเหตุการณ์ตอนที่ทำร้ายเหยื่อไม่ได้
แพทย์ผู้วิจัยเรื่องนี้เชื่อว่า พฤติกรรมเหล่านี้เกิดจากการเห็นเหตุการณ์ฆาตกรรมที่เพื่อนคนหนึ่งของเขาฆ่าผู้อื่นโดยตัดศีรษะและอวัยะเพศ และความเศร้าโศกจากการเสียชีวิตของลูกสาววัย 4 เดือน รวมถึงลุงของเขาที่ถูกฆาตกรรมด้วย
คณะแพทย์จากโรงพยาบาลทหารทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของตุรกีวินิจฉัยว่า ชายคนนี้เป็นโรค ′อาการป่วยทางจิตเนื่องจากการประสบกับการทารุณ (โดยมากเป็นการทารุณทางเพศ)′หรือ ′dissociative identity disorder ′ (DID) 
และเพื่อต้องการหนีจากความเจ็บปวดที่เกิดกับจิตใจ ผู้ป่วยจึงเกิดการแบ่งแยกบุคลิกและสูญเสียความเป็นหนึ่งเดียวในแงอุปนิสัย นอกจากนี้ยังเป็นโรคเครียดจากเหตุการณ์ร้ายแรง ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าเรื้อรัง และดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป 
จากการศึกษาค้นคว้าแพทย์ระบุว่าชายคนดังกล่าวเป็นผู้ป่วยรายแรกที่ป่วยเป็นโรค ‘ผีดูดเลือด’ (vampirism) และ DID ซึ่งโรค DID มักจะเชื่อมโยงไปถึงการถูกการละเมิดและการถูกทอดทิ้งในวัยเด็ก
แม่ของชายผู้ป่วยเป็นโรคผีดูดเลือดเปิดเผยว่าลูกชายเคยถูกล่วงละเมิดเมื่อตอนวัยรุ่น แต่เขากลับบอกว่าเขาจำอะไรในวัยเด็กระหว่างอายุ 5- 11ปีไม่ได้เลย และบอกว่าเขาถูกเพื่อนในจินตนาการบังคับให้เขาต้องก่อเหตุรุนแรงและพยายามฆ่าตัวตาย
หลังจากการรักษา 6 สัปดาห์ แพทย์กล่าวว่าเขามีอาการดีขึ้นแต่อาการป่วยทางจิตยังคงมีอยู่ และยาที่ให้ก็มีเพียงยานอนหลับเท่านั้น ซึ่งมันไม่ได้ช่วยรักษาอาการของเขา
นอกจากนี้ยังกล่าวว่าการดื่มเลือดไม่ได้มีผลเสียต่อร่างกาย เพียงแต่ร่างกายมนุษย์จะปรับตัวในการย่อยเลือดมนุษย์ได้ไม่ดีนัก และการดื่มเลือดมนุษย์ในปริมาณน้อยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย 
แต่ถ้าดื่มบ่อยๆ จะมีความเสี่ยงที่จะเป็น ‘โรคธาตุเหล็กเกิน’ (haemochromatosis) หรืออาจติดโรค เช่น เอดส์จากเลือดของคนที่มีเชื้อได้

วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Maple Syrup:น้ำเลี้ยงจากต้นเมเปิ้ล


ของหวานจากต้นเมเปิ้ล
ประเทศ แคนาดา และหลายรัฐทางตอนเหนือของสหรัฐอเมริกา เป็นป่าเขตหนาวที่เป็นแหล่งพันธุ์ไม้ยืนต้นชนิดหนึ่ง นั่นคือ ต้นเมเปิ้ล (Maple) นอกจากจะมีไบรูปร่างสามแฉกสวยงามแล้ว ต้นเมเปิ้ลยังทำประโยชน์สำคัญให้กับประเทศในทวีปอเมริกาเหนือสองประเทศนี้ อีกอย่าง คือ มีน้ำเลี้ยง (Sap)ที่ให้รสหวานยิ่งยวด สามารถนำไปใช้รับประทานกับอาหารได้หลายอย่าง เช่น ทานกับขนมปัง วัฟเฟิล หรือราดหน้าไอศกรีม เจ้าน้ำเชื่อมหวานๆ ทำจากน้ำเลี้ยงต้นเมเปิ้ลนี้ หลายคนคงรู้จักกันในชื่อของ“Maple Syrup” เป็นผลิตภัณฑ์สินค้าที่ป๊อปมากทั้งภายนอกและภายในประเทศ
นอก จากจะเอามาทาหรือราดหน้าอาหารหรือขนมอย่างอื่นแล้ว ผู้ผลิตขนมหัวใสยังคิดนำ Maple Syrup ไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ขนมเสียเองอีกหลายรูปแบบ
ต่อไปนี้คือตัวอย่างของขนมที่ทำจาก Maple Syrup
น้ำตาลก้อน Maple Syrup กัดทีหวานไปทั้งทรวงอก วันหนึ่งกินได้ไม่เกินหนึ่งก้อน ไม่งั้นน้ำหนักขึ้นจม
ลูกอม Maple Syrup ไม่หวานมากเท่าน้ำตาลก้อน แต่ถ้ากินครั้งละเยอะๆ ก็อ้วนอยู่ดี
Maple Syrup น้ำเชื่อมหวานๆ ที่มีมานาน
น้ำเชื่อมเมเปิลมีประวัติอันยาวนานว่าเป็นสารให้ความหวานดั้งเดิมของชาวอินเดียแดงในอเมริกาเหนือใช้ในรูปของอาหารและยามานานแล้ว จนกระทั่งผู้อพยพชาวฝรั่งเศสได้เดินทางเข้ามาตั้งรกรากในอเมริกา ได้เรียนรู้วิธีการเก็บและผลิตน้ำเชื่อมเมเปิลจากชนพื้นเมือง และพัฒนากระบวนการจนกระทั่งทันสมัย และควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์ได้ดีขึ้น ใช้กันแพร่หลาย เนื่องจากว่าในสมัยยุคบุกเบิกในอเมริกานั้น น้ำตาลทรายต้องนำเข้ามาจาก West Indies และมีราคาสูงมาก จนกระทั่งน้ำตาลทรายมีราคาถูกลงทำให้ความนิยมในการใช้น้ำเชื่อมเมเปิลลดลง
ต้นเมเปิลที่ผลิตน้ำเชื่อมได้จะเป็นต้นเมเปิลที่ให้น้ำตาลพันธุ์ Acer saccharum หรือต้นเมเปิลดำพันธุ์ A.nigrum ซึ่งจะให้น้ำเชื่อมที่มีคุณภาพดี แหล่งผลิตใหญ่คือประเทศแคนาดา ที่ผลิตมากกว่า 75% ของผลผลิตทั่วโลก ซึ่งกระจายไปตามเมืองต่างๆ เช่น ควิเบค หรือทางเหนือของอเมริกา เช่น นิวอิงแลนด์ นิวยอร์ก ฯลฯ
แต่ในแคนาดาแล้วผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมของประเทศ ในช่วงต้นของฤดูใบไม้ผลิจะมีเทศกาลพื้นเมืองที่เรียกว่า Cabanes ? sucre ซึ่งจะเสิร์ฟอาหารพื้นเมืองที่มีน้ำเชื่อมเมเปิ้ลเป็นส่วนประกอบ ยกตัวอย่างเช่น Tire sur la neige หรือทอฟฟี่น้ำตาลเมเปิลเป็นการนำน้ำเชื่อมเมเปิลร้อนๆ มาเทลงบนหิมะให้แข็งตัวคล้ายๆ ทอฟฟี่
ระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับเก็บน้ำเชื่อมจากต้นไม้คือในช่วงเดือนกุมภาพันธ์–เมษายน ซึ่งระยะเวลาขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านอากาศหนาวเย็นเป็นหลัก การเก็บน้ำหวานจะเริ่มจากการเลือกต้นที่แก่พอสมสมควร ในนิวอิงแลนด์จะกำหนดว่าต้นเมเปิลจะต้องมีขนาดเส้นรอบวงไม่ต่ำกว่า 10 นิ้วหรือ 25 เซนติเมตร ดังนั้นอายุของต้นเมเปิลประมาณ 40 ปี
เมื่อเลือกต้นที่ต้องการได้แล้วจะนำไม้ที่เหลาเป็นท่อนกลมๆ และเซาะร่องเพื่อให้น้ำหวานไหลตามรางตอกลงไปในเนื้อไม้เพื่อเป็นทางให้น้ำ เชื่อมไหลออกมาลงสู่ภาชนะที่รองรับไว้ด้านล่าง ในปัจจุบันนิยมใช้กรวยพลาสติกแข็ง หรือท่อพลาสติกแบบสุญญากาศดูดน้ำหวานออกจากต้นไม้ซึ่งจะช่วยลดแรงงานคนลงไป ได้ ช่วงแรกน้ำเชื่อมที่เก็บได้จะมีลักษณะใส กระบวนการนี้ใช้เวลาประมาณ 4-6 สัปดาห์ หลังจากนั้นน้ำเชื่อมจะมีสีขุ่นไม่เหมาะกับการนำไปใช้และความหวานจะเริ่มลดลง
หลังจากที่รวบรวมน้ำเชื่อมได้แล้วก็จะนำมาต้มเพื่อให้น้ำระเหยออกจนเหลือแต่น้ำเชื่อมเข้มข้น เนื่องจากว่าในน้ำ เชื่อมที่เก็บมาขั้นตอนแรกมีน้ำตาลน้อย ประมาณ 2.5-8% เท่านั้น จะต้องนำไปผ่านกระบวนการระเหยน้ำออกประมาณ 75% จะได้น้ำเชื่อมเข้มข้นที่มีปริมาณน้ำตาลสูงถึง 66% ดังนั้นน้ำเชื่อมจากต้นประมาณ 40 ลิตร จะนำมาผลิตน้ำเชื่อมเมเปิลได้เพียง 1 ลิตรเท่านั้น ทำให้น้ำเชื่อมเมเปิลแท้ๆ มีราคาแพง
ประเภทของน้ำเชื่อมเมเปิลจะขึ้นอยู่กับประเทศผู้ผลิต ในอเมริกา An Official United States Department of Agriculture (USDA) กำหนดเป็น 2 เกณฑ์หลักๆ โดยแบ่งตามสี รสชาติ และความเข้มข้นว่า
1. Grade A แบ่งออกเป็น 3 เกรดย่อยๆ คือ Light Amber หรือ Fancy, Medium Amber และ Dark Amber
2. Grade B คือสีเข้มกว่า Grade A : Dark Amber
ซึ่งในกรณีของเกรด A อาจกล่าวได้ว่าเป็นน้ำเชื่อมเมเปิลที่ผลิตในต้นฤดูกาลเก็บน้ำหวาน ซึ่งจะมีรสชาติดี หวาน เหมาะสำหรับนำไปรับประทานได้เลย แต่เกรด B จะได้จากช่วงท้ายฤดูการเก็บเกี่ยว เหมาะสำหรับนำไปปรุงอาหารหรือทำขนมอบ
ส่วนในแคนาดาแบ่งออกเป็น 3 เกรดย่อยๆ คือ
1. Canada # 1 จะประกอบไปด้วย Extra Light, Light, Medium ปริมาณผลผลิต 25–30%
2. Canada # 2 เป็นสีอำพัน (Amber) ปริมาณผลผลิต 10%
3. Canada # 3 เป็นสีเข้ม (Dark) ปริมาณผลผลิต 2%
แต่ก็ยังมีเกรดที่เรียกว่า Commercial จะเป็นสีเข้ม (Very Dark) รสเข้ม แต่ไม่มีกลิ่นหอมเหมือนของเกรดอื่นๆ ส่วนใหญ่นิยมใช้แต่งกลิ่นอาหารอ่านกันมาขนาดนี้ก็คงตาลายไปเรียบร้อยว่าทำไมมันช่างแบ่งประเภทได้ยิบย่อยขนาดนี้ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าของดีหรือไม่ดี ก็ต้องลองชิมหลายๆ ยี่ห้อ หลายๆ ราคาเพื่อเปรียบเทียบกันว่าเป็นอย่างไร ที่สำคัญควรอ่านฉลากให้ละเอียด บวกกับความรู้ที่ได้จากการอ่านคอลัมน์นี้ประกอบ เพื่อเป็นการช่วยให้เลือกได้ถูกต้องยิ่งขึ้น
หลังจากเขียนมานานจะหมดโควตาหน้ากระดาษแล้วก็มาถึงประโยชน์สักนิด เนื่องจากว่าน้ำเชื่อมชนิดนี้ถูกจัดว่าเป็นสารให้ความหวานอีกชนิดหนึ่งที่ คล้ายกับน้ำผึ้ง แต่มีข้อแตกต่างจากน้ำผึ้งนิดหน่อยคือมีเกลือแร่มากกว่าน้ำผึ้ง คือ แคลเซียม มีเกือบๆ 9 มิลลิกรัม ต่อ 2 ช้อนชา หรือ 15 เท่าของน้ำผึ้ง นอกจากนี้ยังมีโพแทสเซียม แมงกานีส เหล็ก สังกะสี ทองแดง และดีบุก มีผลการวิจัยที่ระบุว่าการรับประทานน้ำเชื่อมเมเปิลเป็นประจำช่วยเรื่องการ กระตุ้นภูมิ คุ้มกันของร่างกาย ลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก และลดปริมาณโคเลสเตอรอลในร่างกาย ซึ่งเป็นผลมาจากแร่ธาตุ 2 ตัวคือ แมงกานีส และสังกะสี
การใช้น้ำเชื่อมเมเปิลมีอยู่หลายรูปแบบ แต่ที่คุ้นเคยคือ เป็น Topping สำหรับราดหน้าแพนเค้ก เครป วาฟเฟิล เฟรนช์โทสต์ (French Toast) หรือราดหน้าอาหารเช้าประเภทซีเรียลแทนน้ำผึ้งก็ได้ นอกจากนี้สามารถใช้ใส่เครื่องดื่มต่างๆ ชา กาแฟ มิลค์เชค เพื่อให้มีรสชาติอร่อยกว่าเดิม หรืออาจใช้ในการทำขนมอบประเภทต่างๆ เช่น บิสกิต โดนัต ไอศกรีมฯลฯ แต่ยังมีน้ำเชื่อมเมเปิลเทียมที่เรียกว่า Imitation Maple Syrup ที่มีราคาถูกลงแต่อาจอยู่ในชื่อต่างๆ เช่น Syrup หรือ Pancake Syrup หรือ Pole Syrup (Sirop de Poteau ตามชื่อที่เรียกในแคนาดา)
การเก็บรักษาควรเก็บไว้ในตู้เย็นตลอดเวลาเพื่อคงความสด หรืออาจแช่แข็งเก็บไว้ก็ได้ ภาชนะที่ใช้เก็บก็มีผลต่อระยะเวลาการเก็บคือ ถ้าเป็นขวดแก้วหากเก็บในตู้เย็นจะเก็บได้นาน 1 ปี แต่ถ้าเป็นขวดพลาสติกจะเก็บได้นาน 4 เดือน

Shopping in Amsterdam: bric-a-brac, cheese and zany fashions


Shopping in Amsterdam: bric-a-brac, cheese and zany fashions




The shops packed along Runstraat are narrow and inconspicuous.
Loek de Loor's shop has a selection of 440 types of cheese, for example. De Kaaskammer, the cheese room, is the rather modest name De Loor has given his business, which offers rounds of cheese from Edam alongside unpasteurized speciality cheeses from France.

The cheese aficionado will even find cheeses from Norway and Sweden.
Next door is De Witte Tanden Winkel, the white teeth shop, where there are more than 50 kinds of toothpaste along with special toothbrushes.

De Kaaskamer and De Witte Tanden Winkel are just two of the many small shops in a part of the Dutch capital called the 9 Straatjes - or nine streets, which is bounded by Singel-, Heren-, Prinsen- and Keizersgracht - gracht being the Dutch word for canal.
"These canals were dug during the Dutch Golden Century from 1612 onwards in a horseshoe shape around the old city centre.

"It was here that the wealthy merchants and voyagers built their imposing residences, while artisans moved into the narrow streets linking the main thoroughfares - the 9 Straatjes," says art historian Bregtje Viergever.

The nine streets, Reestraat, Hartenstraat, Gasthuis Molenstraat, Berenstraat, Wolvenstraat, Oude Spiegelstraat, Runstraat, Huidenstraat and Wijde Heisteegh have only relatively recently become a shopping mecca.

During the 1990s, businesses began to move in, and now this part of Amsterdam is one of the best areas to go shopping in - whether for zany women's fashions, original handbags, children's books or items for the kitchen.

Designer items for the home in general and exotic jewellery are to be had, alongside antiques and bric-a-brac.

There are wholefood bakeries, ultra-trendy hairdressers and a shop that sells more than 300 different kinds of whisky.

"The Straatjes are only a few hundred metres from the city centre, but few tourists stray into the area," Viergever says.

She notes that there is constant movement in the area. "You see places where there was no shop yesterday, while today someone has come up with the idea to open another boutique with trendy fashions."

Apart from the nine Straatjes, Amsterdam has many other shops, markets and designer outlets to lure the shopper.

Given the 5,500 shops, 165 antique shops, 26 weekly markets and a flower market, the range is huge.

Those wanting to sample a traditional market where ordinary Amsterdammers do their shopping should seek out the Albert CuypStraat in De Pijp.

"This is our market," says Els Wamsteeker, who works at the local tourist office. The market here is erected every working day from 9 am to 5 pm, offering fresh fish, meat, vegetables and exotic fruits, along with essential clothing items, like woolly socks for the winter.

The odd-looking corner cafe De Taart van m'n Tante, the tart of my aunt, on Ferdinand Bolstraat at one end of the market.

The confectionary decorated with figures is adored by Amsterdammers young and old alike.

Here women meet for a chat over coffee, families celebrate children's birthdays and - it is also a haven for tourists seeking to rest their weary feet after a hard morning's sightseeing.