วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Guignol


Guignol is the main character in a French puppet show which has come to bear his name.
Although often thought of as children's entertainment, Guignol's sharp wit and linguistic verve have always been appreciated by adults as well, as shown by the motto of a prominent Lyon troupe: "Guignol amuses children… and witty adults".

His first shows featured 
Polichinelle, a character borrowed from the Italiancommedia dell'arte who in England would become Punch. By 1804 the success was such that he gave up dentistry altogether and became a professional puppeteer, creating his own scenarios drawing on the concerns of his working-class audience and improvising references to the news of the day. He developed characters closer to the daily lives of his Lyon audience, first Gnafron, a wine-loving cobbler, and in 1808 Guignol. Other characters, including Guignol's wife Madelon and the gendarme Flagéolet soon followed, but these are never much more than foils for the two heroes.Laurent Mourguet, Guignol's creator, was born into a family of modest silk weavers on March 3, 1769. The certificate of his marriage to Jeanne Esterle in 1788 shows he was unable to read. When hard times fell on the silk trade during the French Revolution, he became a peddler, and in 1797 started to practice dentistry, which in those days was simply the pulling of teeth. The service was free; the money was made from the medicines sold afterward to ease the pain. To attract patients, he started setting up a puppet show in front of his dentist's chair.
Although nominally a silkweaver like much of his original audience, Guignol's profession changes, as does his marital status; he can be in turn valet, peddler, carpenter, shoemaker, or unemployed; at times he is Madelon's husband, at times her smitten suitor according to requirements of the scenario. What remain constant are his poverty, but more importantly his good humor and his sense of justice. The use in French of "guignol" as an insult meaning "buffoon" is a curious malapropism, as Guignol is clever, courageous and generous; his inevitable victory is always the triumph of good over evil.
Sixteen of Mourguet's children and grandchildren continued his tradition, and many of the companies performing today can trace their heritage back to him. According to the era, the region, or the performers, Guignol's original caustic satire has often been watered down to simple children's fare, and has even been used to parody grand opera, but his original spirit still survives in his hometown of Lyon, where both traditional and original contemporary performances are an integral part of local culture. In addition to his social satire, Guignol has become an important protector of the local dialect, the parler lyonnais.





วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สัญลักษณ์วันคริสต์มาส



สัญลักษณ์วันคริสต์มาส
       สัญลักษณ์คริสต์มาสต่างๆ ที่น่าดึงดูดใจมีความเป็นสากลเท่าๆ กับที่มีความสวยงาม โดยรวมแล้วสัญลักษณ์เหล่านี้สื่อถึงความสงบสุขและจิตใจที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับวันคริสต์มาสซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองคริสตสมภพ คริสต์มาสเป็นช่วงเวลาแห่งการให้ เป็นช่วงเวลาที่จิตใจของทุกคนเปล่งประกายไปด้วยความสงบสุขและความปรารถนาดี ผู้ที่ฉลองเทศกาลคริสต์มาสจะแขวนสัญลักษณ์เหล่านี้ไว้กับต้นคริสต์มาส  ที่ประดับประดาด้วยไฟกระพริบ ของประดับที่เป็นประกายต่างๆ ริบบิ้นเส้นยาว และหิมะปลอมเพื่อเลียนแบบฤดูหนาว สัญลักษณ์เหล่านี้หลายชิ้นเป็นสิ่งแทนความรู้สึกที่เป็นมงคลอย่างวิเศษ ฉบับนี้เราได้นำความหมายที่อยู่เบื้องหลังสัญลักษณ์เหล่านี้มาบอกต่อ เพื่อให้การตกแต่งต้นคริสต์มาสของคุณในปีนี้เป็นกิจกรรมที่มีคุณค่ามากยิ่งขึ้น

นกพิราบคาบกิ่งมะกอก
นกพิราบเป็นสัญลักษณ์สากลแห่งความสงบ และเมื่อมาพร้อมกับกิ่งมะกอกก็จะหมายถึง “การขอให้ยกโทษให้” หรือ “การยอมให้” เบื้องหลังของสัญลักษณ์นี้มีความหมายที่สวยงามทีเดียว เพราะมันสื่อถึงการที่เราแสดงความนอบน้อมเพื่อให้เกิดความสงบสุขและความปรารถนาดีระหว่างมนุษย์ ด้วยเหตุนี้นกพิราบจึงเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงจิตวิญญาณแห่งคริสต์มาสซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมิตรภาพและคุณงามความดีได้อย่างทรงพลัง
พอยน์เซ็ทเทียส์พอยน์เซ็ทเทียส์ (Poinsettias) หรือที่คนไทยเรียกว่า “ต้นคริสต์มาส” เป็นพืชท้องถิ่นของเม็กซิโกที่ตั้งตามชื่อของ โจแอล พอยน์เซ็ทท์ผู้เป็นทูตคนแรกของอเมริกาที่ไปประจำการที่ประเทศเม็กซิโก และเป็นผู้นำต้นไม้ชนิดนี้มายังอเมริกาในปี 1828 ชาวเม็กซิกันมองว่าพืชชนิดนี้เป็นสัญลักษณ์ของ “ดาวแห่งเบธเลเฮม” ดังนั้นพอยน์เซ็ทเทียจึงเข้ามามีความเกี่ยวพันกับฤดูกาลคริสต์มาส ดอกจริงๆ ของต้นพอยน์เซ็ทเทียจะมีขนาดเล็กและมีสีเหลือง แต่ส่วนที่อยู่ล้อมรอบดอกเป็นใบสีแดงสดใสขนาดใหญ่ซึ่งมักถูกเข้าใจว่าเป็นกลีบดอก
ต้นคริสต์มาสต้นคริสต์มาสถือกำเนิดขึ้นในประเทศเยอรมันในศตวรรษที่ 16 และชาวเยอรมันก็ตกแต่งต้นสนเฟอร์ของพวกเขาด้วยดอกกุหลาบ ผลแอปเปิ้ล และกระดาษสายรุ้งกันเป็นเรื่องธรรมดา กล่าวกันว่ามาร์ติน ลูเธอร์ ผู้ปฏิรูปนิกายโปรเตสแตนท์เป็นบุคคลแรกที่เริ่มนำเทียนไขมาจุดประดับที่ต้นคริสต์มาส ระหว่างทางที่กลับบ้านในคืนฤดูหนาวคืนหนึ่งที่ใกล้ถึงวันคริสต์มาส เขาตะลึงกับความงามของแสงดาวระยิบระยับที่ส่องลอดผ่านกิ่งไม้และต้นสนเฟอร์ต้นเล็กๆ ที่อยู่นอกบ้านของเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงจำลองแสงดาวเหล่านี้ด้วยการนำเทียนไขมาติดเอาไว้ที่กิ่งของต้นคริสต์มาสในบ้านของเขา และไม่นานการปฏิบัติเช่นนี้ก็เป็นที่นิยมและแพร่หลายมาสู่อังกฤษช่วงศตวรรษที่ 19
มิสเซิลโทเชื่อกันว่ามิสเซิลโทมักถูกนำมาใช้เฉลิมฉลองการมาเยือนของฤดูหนาว ต้นพืชซึ่งมีใบเขียวตลอดปีนี้ถูกนำมาใช้ตกแต่งบ้าน เพราะเชื่อว่ามิสเซิลโทมีพลังวิเศษในการบำบัดโรคทุกชนิดตั้งแต่การมีลูกยากของผู้หญิงไปจนถึงการแก้พิษต่างๆ ชาวสแกนดิเนเวียนถือว่ามิสเซิลโทเป็นพืชแห่งความสงบสุขและความปรองดอง และมีความเกี่ยวพันกับเทพธิดาฟริกกาซึ่งเป็นเทพธิดาแห่งความรักของพวกเขา ธรรมเนียมในการจุมพิตกันใต้ต้นมิสเซิลโทเกิดจากความเชื่อที่ว่าการจูบกันใต้กิ่งของต้นพืชชนิดนี้จะช่วยเสริมสร้างความรักระหว่างคู่รักได้
พวงหรีดคริสต์มาส
การแขวนพวงหรีดไว้ที่หน้าประตูเป็นธรรมเนียมที่เริ่มขึ้นในยุโรปที่มีการนำเอากิ่งของต้นไม้ที่เขียวสดตลอดปีมาใช้ประดับทางเข้าประตูในช่วงคริสต์มาสเพื่อเชื้อเชิญภูติแห่งป่าไม้เข้ามาในบ้าน ชาวยุโรปเชื่อว่าภูติเหล่านี้จะนำสุขภาพและโชคลาภที่ดีมาให้ ทุกวันนี้ผู้คนก็ยังคงประดับบ้านด้วยพวงหรีดที่ทำจากกิ่งฮอลลีและกิ่งไม้ที่มีใบสีเขียวสดเพื่อเป็นการต้อนรับเพื่อนฝูงและญาติ รูปทรงกลมของพวงหรีดสื่อถึงความรักอมตะไม่มีวันโรยรา หยุดชะงัก หรือสิ้นสุด เพราะเป็นวงกลมแห่งความรักที่ต่อเนื่อง พวงหรีดคริสต์มาสมักประดับด้วยโบว์ กระดิ่ง และสัญลักษณ์แห่งเทศกาลแบบอื่นๆ
ดาว
ต้นคริสต์มาสหลายต้นจะมีดาวประดับอยู่บนยอด เชื่อกันว่าดาวเป็นสิ่งที่นำทางไปสู่ความประจักษ์แจ้งที่วิเศษและในสมัยโบราณก็มีการบูชากลุ่มดาวมากมาย เช่น กลุ่มดาว “หมีใหญ่” และกลุ่มดาว “หมีเล็ก” เป็นเสมือนเทพเจ้า ชาวฮิบรูโบราณใช้ “ดาวหกแฉกของเดวิด”เป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา ในขณะที่ “ดาวคริสต์มาสห้าแฉก” เป็นสัญลักษณ์ของดาวที่ปรากฏขึ้นเหนือนครเบธเลเฮมในคืนวันที่พระเยซูประสูติ ในหลายๆ วัฒนธรรม ดวงดาวเป็นสัญญาณของโชคลาภและการบรรลุเป้าหมายใหม่ๆ
ถุงเท้า
ในศตวรรษที่ 18 เด็กๆ ในฮอลแลนด์จะวางรองเท้า “คล็อก ชู” (clog shoes - รองเท้าเปิดส้นและคลุมนิ้วเท้าด้านหน้า คล้ายรองเท้าแตะ แต่จะยกพื้นขึ้น พื้นจะมีความหนาและแข็งแรงและคล็อกชูแบบดั้งเดิมจะใช้ไม้ในการทำพื้นรองเท้า) ไว้ข้างเตาผิงโดยหวังว่า “ซินเตอร์คลาส” (Sinterclass) จะนำของขวัญมาใส่เอาไว้ให้ ต่อมาคล็อกชูก็กลายมาเป็นถุงเท้ายาว และซินเตอร์คลาสก็กลายเป็นซานตาคลอส จนถึงทุกวันนี้ผู้คนมากมายก็ยังใช้ถุงเท้าคริสต์มาสเป็นที่ใส่ของขวัญชิ้นเล็กๆ มอบให้แก่เด็กๆ และคนที่รัก
ลูกกวาดไม้เท้าว่ากันว่าขนมหวานชนิดนี้เตือนให้ทุกคนนึกถึงทุกอย่างที่เกี่ยวกับคริสต์มาสด้วยสีขาวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และความนิรมลของพระเยซู ส่วนแถบเล็กๆ สามแถบคือพระบิดา พระบุตร และพระจิต แถบหนาสีแดงเป็นสัญลักษณ์ของโลหิตของพระเยซูที่หลั่งออกมาเพื่อชำระบาปของมนุษย์ เมื่อมองไปที่ปลายโค้งงอที่อยู่ด้านบน จะดูเหมือนไม้เท้าของคนเลี้ยงแกะ เนื่องจากพระเยซูคือชุมพาบาลของมวลมนุษย์ และเมื่อกลับด้านบนลงมา ก็จะกลายเป็นตัวอักษร J ซึ่งแทนชื่อของพระเยซู (Jesus)
ซานตาคลอส
ซานตาคลอสเป็นสัญลักษณ์ของการเฉลิมฉลองรื่นเริงและของขวัญมากมาย ต้นกำเนิดของซานตาคลอสก็คือนักบุญนิโคลาสผู้มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 4 เขาเป็นที่เลื่องลือในเรื่องความรักเด็กและมีถุงของขวัญใบใหญ่ ภาพของซานตาคลอสในปัจจุบันคือชายร่างอ้วนหน้าตายิ้มแย้มในชุดสีแดง และซานตาคลอสยังทำให้เรานึกถึงพระยิ้มของจีนอีกด้วย

ประวัติต้นฮอลลี่


                                ประวัติต้นฮอลลี่ ไอวี่และกรีนเนอรี่
c6
ในยุโรปทางเหนือคริสต์มาสจัดกันในช่วงกลางของฤดูหนาว เมื่อได้ยินเสียงผีและปีศาจโหยหวนในลมฤดูหนาว กิ่งต้นฮอลลี่ที่เชื่อว่ามีพลังวิเศษเนื่องจากพวกมันยังคงมีสีเขียวผ่านฤดู หนาวอันโหดร้าย ได้ถูกนำมาวางไว้ เหนือประตูบ้านเพื่อขับไล่ความชั่วร้ายออกไป ใบกรีนเนอรี่ที่มีสีเขียวยังถูกนำมาไว้ในบ้านเพื่อทำให้อากาศสดชื่นทำให้ อารมณ์แจ่มใสระหว่างฤดูหนาว

ตำนานยังคงมีว่าต้นฮอลลี่นั้นผลิขึ้นมาจากรอยเท้าของพระเยซูคริสต์เมื่อพระองค์ ทรงดำเนินอยู่บนโลก ใบที่ชี้ออกไปกล่าวกันว่าเป็นการแสดงถึงมงกุฎหนามของพระคริสต์ที่สวมใส่ขณะ ที่ทรงอยู่บนไม้กางเขนและลูกเบร์รี่สีแดงเป็นสัญลักษณ์ถึงพระโลหิตที่ทรง หลั่

วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เทคนิคการบริหารเวลา



เทคนิคการบริหารเวลาแบบง่ายๆ!!! ที่ทำให้เรามีเวลาเพิ่มขึ้นในแต่ละวัน!!!






...
ไม่มีเวลา คำนี้เป็นคำยอดฮิตติดปากของหลายคน
เราอยากเติบโตก้าวหน้าในอาชีพการงาน แต่ ไม่มีเวลา
เราอยากเรียนรู้ อยากพัฒนาตนเอง แต่ ไม่มีเวลา
เราอยากทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกัน แต่ ไม่มีเวลา
เราอยากมีรายได้มากๆ อยากรวย แต่ ไม่มีเวลา
น่าแปลกว่า หลายคนมีเวลาในการคิด แต่ ไม่มีเวลาในการทำ
หลายคนถามว่า แล้วทำอย่างไร เราถึงจะมีเวลา?
คำตอบก็คือ ไปหาซื้อนาฬิกากันเพิ่มอีกสักเรือนดีไหม!!
ในความเป็นจริง ไม่ว่าเราจะซื้อนาฬิกาเพิ่มอีกสักกี่เรือน
ก็ไม่ทำให้เรามีเวลาเพิ่มขึ้นได้หรอก ใช่ไหมครับ
สิ่งที่เราทำได้ ก็คือ การบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ
บางคนชอบเอาแต่บ่นว่า ตนเองนั้นไม่มีเวลา
ไม่สามารถที่จะทำอะไรเพิ่มขึ้นได้เลย
งานประจำวันก็ยุ่งเหยิง รัดตัว ไปหมด
ไหนจะครอบครัว ลูกเต้า คนรัก จะมีเวลาไปทำอะไรได้
แต่เราคงเคยเห็น คนอื่นอีกหลายคนที่เขาดูมีเวลา
สามารถทำสิ่งนั้น สิ่งนี้ ได้หลายอย่างมากมายในชีวิต
การที่เราจะมีเวลาหรือไม่มีเวลานั้น ก่อนอื่น
ต้องมีการปรับ ทัศนคติ ปรับ จิตใจ ของเราเสียก่อน
แน่นอนว่า คนเรานั้น มีเวลาเท่าเทียมกันหมดทุกคน
ขึ้นอยู่กับว่า เราจะใช้เวลาของเรา ทำอะไรและเพื่ออะไร
หาก ทัศนคติ และใจของเรา นั้น มีแต่คำว่า ไม่มีเวลา
เราก็จะปิดกั้นตนเองในการทำตามเป้าหมายชีวิตของเรา
หากเราต้องการความก้าวหน้าในอาชีพการงาน
เราก็ต้องหมั่นที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ
ยิ่งในยุคนี้ ซึ่งเป็นสังคมแห่งการแข่งขัน
ทุกคนต้องดิ้นรน ต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งเป้าหมาย
จึงต้องมี เวลา ในการฝึกฝน เรียนรู้และ พัฒนาตนเอง
ซึ่ง เทคนิคการบริหารเวลา อย่างง่ายๆ ก็คือ
คิดให้เร็ว พูดให้เร็ว และทำให้เร็ว มากยิ่งขึ้น
เร่งสปีดตนเอง เร่งสปีดชีวิตให้รวดเร็วขึ้น
หลายคนสามารถทำหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน
และทำได้ดีเสียด้วย ในขณะที่อีกหลายคน
แค่ทำงานประจำก็บอกว่า ตนเองไม่มีเวลาเสียแล้ว
ไม่มีงานไหน ที่ได้รายได้มากขึ้น แต่ทำงานน้อยลง
แม้จะใช้แรงงานน้อยลง ก็ต้องใช้ความคิดมากขึ้น
เทคนิคอีกอย่างหนึ่งในการบริหารเวลา
และในการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขั้นนั้น
ก็คือ การจัดลำดับความสำคัญของงานและสิ่งที่ทำ
อะไรสำคัญทำก่อน อะไรไม่สำคัญทำทีหลัง หรือไม่ทำ เป็นต้น
เพียงเท่านี้ เราก็จะบริหารเวลาในชีวิตของเราได้ดีขึ้น
และได้ทำ ได้เรียนรู้ในหลายอย่างที่เราต้องการที่จะทำ
จำไว้ว่า ชีวิตเป็นของเรา และ เวลาในชีวิต ก็เป็นของเรา
เรามีสิทธิเลือกว่า เราจะทำอะไร ที่ไหน และเมื่อไร
เลิกบอกตนเองว่า ไม่มีเวลา และหันกลับมาคิดใหม่ว่า
เราจะใช้เวลาของเราทำอะไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดในแต่ละวัน
ไม่ปล่อยให้คำว่า ไม่มีเวลา มาจำกัดเส้นทางเดินของเรา
และนั่นก็จะทำให้เราเดินทางสู่เป้าหมายที่เราตั้งใจไว้ได้แล้วล่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เทศกาล Oktoberfest


เที่ยวยุโรปกับเทศกาลเบียร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (Oktoberfest 2012) ที่เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมัน

เทศกาลเบียร์ Oktoberfest มิวนิค, เยอรมัน
                     เทศกาลเบียร์ Oktoberfest เมืองมิวนิค,ประเทศเยอรมัน
 
     เทศกาลเบียร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก คือ เทศกาล Oktoberfest  หรือชาวเยอรมันเรียกว่า Wiesn เป็นงานเทศกาลเบียร์ประจำปีของเมืองมิวนิค จัดขึ้นเป็นเวลา 2 สัปดาห์ จะจัดขึ้นทุกปี ช่วงปลายเดือน ก.ย - ต้นเดือน ต.ค ของทุกปี (ปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22 ก.ย. ถึง 7 ต.ค. 2012) นับว่าเป็นงานเทศกาลที่มีชื่อเสียงและใหญ่ที่สุดในโลก มีผู้คนมางานนี้ปีละไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคน คนที่มางาน Oktoberfest นี้ ทั้งกินทั้งดื่ม ทั้งเล่นเครื่องเล่นต่างๆ เต็นท์เบียร์แต่ละเต็นท์ทำรายได้ขั้นต่ำ 30 ล้านบาทต่อวัน หรือ 500 ล้านบาทสำหรับงานนี้งานเดียว เบียร์ในแก้ว 1 ลิตร (หรือเรียกว่า Mass) ราคาอยู่ระหว่าง 9.10 ยูโร ถึง 9.50 ยูโร (ซึ่งราคาจะแพงกว่าปีที่แล้ว) 
เทศกาล เบียร์ Oktoberfest มิวนิค,เยอรมัน
                                                      เทศกาลเบียร์ Oktoberfest เมืองมิวนิค,ประเทศเยอรมัน
     สำหรับวันปกติเต็นท์จะเปิดเวลา 10.00 - 22.30 ส่วนวันเสาร์ อาทิตย์และวันหยุดราชการเปิดเวลา  9.00 - 22.30 น. และปีนี้มีเบียร์ให้ดื่ม มากกว่า 6 ล้านลิตรเลยทีเดียว วันเปิดงานจะมีขบวนแห่ของโรงเบียร์และร้านค้าต่างๆที่มาร่วมงานเทศกาลเบียร์ มีขบวนรถม้าประดับประดาด้วยเครื่องตกแต่งต่างๆ อย่างสวยงาม มีวงดุริยางค์หลายวงร่วมขบวนแห่เพิ่มความสนุกสนานครึกครื้น
เทศกาล Oktoberfest มิวนิค, เยอรมัน
                           เทศกาล Oktoberfest เมืองมิวนิค,ประเทศเยอรมัน
     งานจัดขึ้นที่ลานกว้างชื่อ Theresienwiese (Field [or meadow] of Therese) เบียร์ที่นำมาจำหน่ายในงานนี้ เป็นเบียร์พิเศษที่บ่มขึ้นมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ซึ่งจะมีสีและรสเข้ม และมีแอลกอฮอล์สูงกว่าเบียร์ทั่วไป โดยปกติมาตรฐานเบียร์ของที่นี่ ส่วนผสมของแอลกอฮอล์ของเบียร์จะอยู่ที่ 5.3% แต่งานนี้ Wiesnbier อยู่ระหว่าง 6 - 7% เบียร์ที่ออกมาจำหน่ายกันได้แก่  Spaten-Franziskaner-Bräu, Augustiner, Paulaner, Hacker-Pschorr, Hofbräu  และ Löwenbräu  หากถามว่าเบียร์ยี่ห้อไหนอร่อยสุด คอเบียร์ที่นี่แนะนำ Augustiner ค่ะ
เทศกาล Oktoberfest มิวนิค, เยอรมัน
                                                    เทศกาล Oktoberfest เมืองมิวนิค, ประเทศเยอรมัน
     เบียร์จะเสริฟในเหยือกเบียร์จุ 1 ลิตร เรียกว่า Mass (ถ้าครึ่งลิตรเรียกว่า Halbe ) เบียร์โดย Mass แรกจะเสริฟให้แก่ the Bavarian Minister-President งานนี้จะอนุญาตเฉพาะโรงบ่มเบียร์แถบเมืองมิวนิคเท่านั้น ที่จะมาจำหน่ายเบียร์ในเต็นท์ขนาดยักษ์ได้ ซึ่งเต็นท์เบียร์มีขนาดใหญ่และแข็งแรงมาก จุคนได้ถึงหลายพันคน  ซึ่งเต็นท์ขนาดใหญ่มี 14 เต็นท์และ 13 เต้นท์เล็ก
เทศกาล Oktoberfest มิวนิค, เยอรมัน
                                                                  เทศกาล Oktoberfest เมืองมิวนิค, ประเทศเยอรมัน
     เทศกาล"Oktoberfest" จัดขึ้นครั้งแรก เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 1810 เพื่อเป็นที่ระลึกในพิธีอภิเษกสมรสของ Crown Prince Ludwig (later King Ludwig I) กับ Princess Therese of Saxe-Hildburghausen (namesake of the Theresienwiese festival grounds) มีการจัดแข่งม้า (งานอภิเษกสมรสจัดขึ้นในวันที่ 12 ตุลาคม การแข่งม้าจัดขึ้นในวันที่ 17 ตุลาคม) ขบวนแห่จัดขึ้นครั้งแรก เมื่อปี 1887 โดยมีเจ้าเมืองมิวนิคสมัยนั้นมาร่วมขบวนอยู่ในรถม้าด้วย รถม้าตกแต่งด้วยดอกไม้และเครื่องประดับต่างๆ อย่างสวยงาม  รถม้าคันอื่นๆ ก็มีเจ้าของโรงเบียร์และครอบครัวนั่งมากับรถม้าด้วย และบรรดาผู้ที่มาร่วมงาน เช่น พนักงานเสริฟ นักดนตรี ก็มาร่วมเดินในขบวนแห่ด้วย ขบวนแห่เริ่มจาก ถนน Sonnenstrasse ไปถึง Theresienwiese ซึ่งเดิมเป็นลานกว้างๆ ใช้จัดงานเทศกาลต่างๆ เมื่อพ้นเทศกาลแล้ว ก็รื้อเต็นท์และอุปกรณ์ต่างๆออกหมด จนเหลือแต่ลานกว้างๆเหมือนเดิม จากงานเทศกาลเล็กๆ ก็ถูกจัดใหญ่โตขึ้นมาเรื่อยๆ ชาวเกษตรกรเมื่อก่อนถือว่าช่วงเวลาเดือนตุลาคมนี้เหมาะสมต่อการเสนอผลิตผลทางการเกษตร ผู้ผลิตเครื่องมือเครื่องใช้ทางการเกษตรก็นำสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ มาเผยแพร่ในงานให้กับกลุ่มเกษตรกร
เทศกาล Oktoberfest มิวนิค, เยอรมัน
                                                               เทศกาล Oktoberfest เมืองมิวนิค, ประเทศเยอรมัน
     สำหรับผู้ที่กลั่นเบียร์ขาย(Brauerei) ก็ถือเป็นโอกาสทองสำหรับการนำเบียร์เก่ามาเทขายก่อนถึงฤดูกาลหมักเบียร์ในปีต่อไป ดังนั้นเบียร์ที่ขายในงาน Oktoberfest จึงเป็นเบียร์เก่าและดีกรีแรงกว่าเบียร์ ที่ขายอยู่ตามท้องตลาด

Salsa


Salsa

From Wikipedia, the free encyclopedia
Salsa dancing.
Salsa is a type of music and dance of hispanic origin. Salsa music is based on Cuban music. This is afusion of musical ideas which originally came from Africa and Spain.[1]
During 1965-1975 in New York, musicians of Cuban and Puerto Rican origin combined to produce this Cuban-style music. The music got the label of 'salsa'. No-one really knows how this happened, but everyone recognised how good it was to have a label for it. Over time, salsa bands worked in other influences. For example, in the late 60s Willie Colon developed numbers that made use of Brazilianrhythms. N.Y. radio programmes offered 'salsarengue' as a further combination.[2][3][4]
The question of whether or not salsa is anything more than Cuban music has been argued over for more than thirty years. Initially, not much difference could be heard. Later it became clear that salsa in New York was a bit different from popular music in Cuba. Also, MiamiVenezuelaColombia and other places all had their own ideas. It now seems clear that salsa has receded from the great position it achieved in the late 1970s, at any rate in New York. The reasons for this are also much disputed. It is difficult for any music which uses a foreign language to succeed in the biggest English-speaking market-place.[5]
Junior dance competition in the Czech Republic. It's a cha-cha-cha danced to a high standard.
Salsa as a dance can be seen in all the places mentioned. Unlike standard ballroom dancing, there is no clear agreement on how it should be danced, and the methods differ widely in detail. The teaching of salsa is also rather undeveloped. But, as a general guide, salsa dancing is rather like other dances from Cuba, such as the cha-cha-cha.[6]

écris un mél à Rémi pour lui présenter ton pays

Salut Rémi
 En Thaïlande
     Je suis Thaïlandais. j'habite à l'école Rachinee burana à l'école près de Ongprapathom jadi. j'aime visiter à Chàteau de Sanamjun. C'est un lieu à visiter. j'adore voyager à Nakonpathom. C'est très beau.

écris un mél à Luisa pour te présenter

Bonjour !

  Je m'appeile Nattawan, Je suis thaïlandaise. j'ai 17 ans. j'habite chez mes parents, à NaKhonpathom,une petite ville prèsde Bangkok,la capitale du pays. j'aime la musique,et j'adore les vacances à la campagne chez mes.

Europe

DrapeauxFormes courtesFormes longues
Drapeau : Fidjiles Fidjila République des Îles Fidji (IGN, UE, OIT, SQ, SS)
République des Fidji (INSEE, PRm)
Drapeau : Finlandela Finlandela République de Finlande (PRm)
Drapeau : Francela Francela République française
Drapeau : Gabonle Gabonla République gabonaise
Drapeau : Gambiela Gambiela République de Gambie (PRm)
Drapeau : Géorgiela Géorgiela Géorgie
Drapeau : Ghanale Ghanala République du Ghana (PRm)
Drapeau : Grècela Grècela République hellénique
Drapeau : Grenadela Grenadela Grenade
Drapeau : Guatemalale Guatemala (IGN, UE, OIT, INSEE, SS, PR)
le Guatémala (IGN)
la République du Guatemala (IGN, UE, OIT, INSEE, SQ, SS)
la république du Guatemala (PR)
la République du Guatémala (IGN)
Drapeau : Guinéela Guinéela République de Guinée (PRm)
Drapeau : Guinée-Bissaula Guinée-Bissaula République de Guinée-Bissau (PRm)
Drapeau : Guinée équatorialela Guinée équatoriale
la Guinée-Équatoriale (PR)
la République de Guinée équatoriale
la république de Guinée-Équatoriale (PR)
Drapeau : Guyanale Guyana (IGN, OIT, SQ, SS)
la Guyana (UE, PR, RE)
la République coopérative du Guyana (IGN, SS)
la République coopérative de Guyana (UE, INSEE, PR)
la République du Guyana (OIT, SQ)
Drapeau : HaïtiHaïtila République d'Haïti (PRm)
Drapeau : Hondurasle Hondurasla République du Honduras (PRm)
Drapeau : Hongriela Hongriela Hongrie (PRm)
Drapeau : Indel'Indela République de l'Inde (PRm)
Drapeau : Indonésiel'Indonésiela République d'Indonésie (PRm)
Drapeau : Irakl'Irak (IGN, SS, PR, RE)
l'Iraq (IGN, UE, OIT, INSEE, SQ, RE)
la République d'Irak (IGN, SS, PRm)
la République d'Iraq (IGN, UE, OIT, INSEE, SQ)
Drapeau : Iranl'Iran (IGN, UE, INSEE, SQ, SS, PR)
la République islamique d'Iran (OIT, SQ)
la République islamique d'Iran
Drapeau : Irlandel'Irlande (IGN, UE, OIT, INSEE, PR)
Eire (INSEE)
l'Irlande
la république d'Irlande (PR)
Drapeau : Islandel'Islandela République d'Islande (PRm)
Drapeau : IsraëlIsraëll'État d'Israël
Drapeau : Italiel'Italiela République italienne
Drapeau : Jamaïquela Jamaïquela Jamaïque
Drapeau : Japonle Japonle Japon (IGN, UE, OIT, INSEE, SQ, SS, PR, RE)
l’État du Japon
Drapeau : Jordaniela Jordaniele Royaume hachémite de Jordanie