วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2556

ประเทศที่"รักร่วมเพศ"แต่งงานได้



เดนมาร์ก
เป็นประเทศแรกในโลกที่ออกกฎหมายให้คู่แต่งงานที่เป็นเกย์ มีสิทธิเทียบเท่ากับคู่สมรสทั่วไปทุกประการเมื่อปีพ.ศ. 2532

นอร์เวย์ สวีเดน และไอซ์แลนด์
ออกกฎหมายเมื่อปีพ.ศ. 2539

ฟินแลนด์
ออกกฎหมายเมื่อปีพ.ศ. 2545

เนเธอร์แลนด์
ออกกฎหมายเมื่อปีพ.ศ. 2544

เบลเยียม
ออกกฎหมายเมื่อปีพ.ศ. 2546

สเปน
แม้จะได้รับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากชาวโรมันคาทอลิกในประเทศ แต่กฎหมายให้สิทธิทุกประการแก่คู่สมรสชาวเกย์ ได้รับการประกาศออกมาเป็นผลสำเร็จเมื่อมิถุนายน 2548 นอกจากนี้คู่สมรสเกย์สามารถขอเด็กมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมได้ด้วย

ฝรั่งเศส
ปี 2542 อนุมัติข้อตกลงที่เรียกว่า "Pacs" ที่ให้สิทธิบางประการแก่คู่ครองที่อยู่ด้วยกันเฉยๆ โดยไม่แต่งงาน ไม่ว่าจะเป็นระหว่างเพศอะไรก็ตาม แต่คู่ครองประเภทนี้ไม่ได้รับสิทธิทางภาษีเท่ากับคู่สมรสที่แต่งงานกันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ปี 2547 ผู้ว่าการจังหวัดคนหนึ่งจัดพิธีสมรสให้กับชาวเกย์เป็นครั้งแรกในฝรั่งเศส แต่ในที่สุดศาลก็ประกาศให้การแต่งงานนั้นเป็นโมฆะ

ลักเซมเบิร์ก
ออกกฎหมายตามแบบฝรั่งเศสเมื่อปี 2547

สหราชอาณาจักร (อังกฤษ)
เดือนธันวาคม 2548 ออกกฎหมายให้คู่ครองเพศเดียวกันที่จดทะเบียนด้วยกัน มีสิทธิเทียบเท่ากับคู่สมรสทั่วไป ซึ่งรวมถึงสิทธิในการรับเงินบำนาญ การรับบริการประกันสังคม การซื้อบ้าน และอสังหาริมทรัพย์

สหรัฐอเมริกา
1. รัฐเวอร์มองต์

เป็นรัฐแรกในสหรัฐฯ ที่อนุญาตการแต่งงานของคู่ครองเพศเดียวกันได้เมื่อปี 2543

2. รัฐคอนเนกติกัต
ออกกฎหมายเมื่อเมษายน 2548

3. รัฐแคลิฟอร์เนีย
ซานฟรานซิสโกเริ่มออกใบสมรสให้คู่ครองที่เป็นเกย์ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2547 แต่ภายหลังถูกศาลฎีกาของรัฐเพิกถอน แต่แล้วเมื่อเดือนมีนาคม 2548 ศาลของซานฟรานรายหนึ่งประกาศว่าการห้ามไม่ให้คู่ครองเพศเดียวกันแต่งงานกันได้นั้น ถือเป็นการกระทำที่ผิดต่อรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตามร่างพระราชบัญญัติที่อนุญาตให้การแต่งงานของชาวเกย์เป็นเรื่้องถูกต้องตามกฎหมาย กลับถูกผู้ว่าการรัฐในขณะนั้นคือ นายอาโนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ต่อต้านและยับยั้งไม่ให้ผ่าน

4. รัฐแมสซาชูเสตต์
เป็นรัฐแรกในสหรัฐฯ ที่ออกใบสมรสให้แก่คู่ครองที่เป็นเกย์เมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2547 แต่สภานิติบัญญัติกลับเสนอห้ามไม่ให้ชาวเกย์แต่งงานกัน แต่อนุญาตให้จดทะเบียนกันได้เท่านั้น ถ้าข้อเสนอนี้ผ่้านการรับรองด้านกฎหมายอีกหลายขั้นตอน ก็จะต้องผ่านการทำประชามติอีกครั้งในฤดูใบไม้ร่วงของปี 2549

5. รัฐโอเรกอน
เจ้าหน้าที่ในแถบ Portland เริ่มออกใบสมรสให้แก่คู่ครองเพศเดียวกันเมื่อปี 2547 ก่อนที่จะถูกประชาชนออกเสียงต่อต้าน เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐ โดยห้ามไม่ให้เกย์แต่งงานกันได้ แต่นายเทด คูล็องโกสคิ (Ted Kulongoski) ผู้ว่าการรัฐโอเรกอนกล่าวว่า เขาจะสนับสนุนกฎหมายใหม่ที่จะอนุญาตให้ชาวเกย์จดทะเบียนกันได้

6.โคโลราโด
บังคับใช้เป็นกฎหมายในวันที่ 1 พฤษภาคมนี้

แคนาดา
กรกฎาคม 2548 ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการแต่งงานของคู่สมรสเพศเดียวกัน กลายเป็นกฎหมายอย่างสมบูรณ์

อาร์เจนตินา
เป็นประเทศแรกในละตินอเมริกาที่รัฐจัดพิธีจดทะเบียนให้กับคู่ครองชาวเกย์ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2546 และให้สิทธิทางกฎหมายชาวเกย์เกือบเทียบเท่ากับคู่สมรสต่างเพศทุกประการ ยกเว้นการขอเด็กมาเป็นบุตรบุญธรรม และสิทธิในเรื่องมรดก

นิวซีแลนด์
เดือนธันวาคม 2547 รัฐสภาอนุมัติพระราชบัญญัติที่ยอมรับการจดทะเบียนสมรสระหว่างคู่ครองชาวเกย์

แอฟริกาใต้
เดือนธันวาคม 2548 ศาลฎีกาตัดสินว่าชาวเ้กย์สมควรได้รับสิทธิแต่งงานกันได้เหมือนคู่้สมรสอื่น และสั่งให้รัฐสภาแก้กฎหมายการแต่งงานภายใน 1 ปี เพื่อรับรองกับการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน
ที่มา : http://board.postjung.com/605161.html

10 สุดยอดดอกไม้แปลกๆ ที่สุดของโลก



1. Rafflesia arnoldii หรือดอกบัวผุด
เป็นกาฝากชนิดหนึ่ง อาศัยอยู่บนรากของพืชจำพวกเถาองุ่นป่า (Tetrastigma) ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า ย่านไก่ต้ม มีลักษณะเด่นที่ดอกซึ่งเป็นดอกเดียวขึ้นจากพื้นดินมีขนาดใหญ่ มีกลิ่นเหม็นมาก 
ดอก ตูมอยู่จะคล้ายกับหม้อขนาดใหญ่มีกลีบหนา ที่โคนของดอกมีกลีบนำสีน้ำตาลอมเหลืองเรียงสลับซับซ้อนกันอยู่มาก ด้านบนมีปุ่มคล้ายหนามแหลมจานนี้จะซ้อนเกสรตัวผู้และรังไข่ไว้ด้านล่าง ดอกจะบานอยู่ได้เพียง 4-5 วันเท่านั้น หลังจากนั้นก็จะค่อยๆ ดำเน่าไป ดอกบัวผุดพบใน อำเภอพนม บนพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาสก ในจังหวัดสุราษฎ์ธานี ซึงเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี
2. Titan Arum ดอกซากศพ หรือดอกบุกยักษ์
ดอกไม้ ที่ใหญ่ที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง มันสามารถแปลงกายให้เหมือนลึงค์แต่ไม่ใช่ลึงค์ เป็นพืชในเขตป่าร้อนชื้น ในพืชตระกูล "บัวผุด" (Rafflesia) เป็นดอกไม้เดี่ยวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอาณาจักรพืช พบขึ้นอยู่บนเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย กลิ่นน่าสะอิดสะเอียนที่หึ่งไปทั่วของมัน กลับเย้ายวนแมลงบางชนิดให้มาดูดน้ำหวาน และผสมเกสรให้มัน 

3. Hydnora africana
พืชพื้นเมืองไปภาคใต้ แอฟริกา พืชเจริญเติบโตใต้ดินยกเว้นดอกไม้อ้วนที่ปรากฏบนพื้นและส่งเสียงของกลิ่น อุจจาระ เพื่อดึงดูดธรรมชาติ ผสมเกสร , ด้วงมูลสัตว์ และ ซากสัตว์ด้วง ดอกไม้ทำหน้าที่เป็นกับดักสำหรับระยะเวลาสั้น ๆ ยึดด้วงที่ใส่แล้วปล่อยพวกเขาเมื่อดอกไม้บานเต็มที่
4. Helicodiceros muscivorus - Dead horse arum lily
เป็นไม้ประดับ พื้นเมืองในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียน มีกลิ่นเหมือนเนื้อเน่าเหม็นหึ่ง, ดึงดูดแมลง ให้มาผสมเกสร

5. ดาร์ลิงโทเนีย (Darlingtonia), Cobra Lilly, ลิลลี่งูเห่า

ลิลลี่งูเห่า เป็นพืชกินแมลงกลุ่มเดียวกับซาราซีเนียและ Heliamphora มีชื่อเสียงในแง่ของความแปลกประหลาด น่าพิศวงและสวยงามเป็นอย่างยิ่ง แต่ขณะเดียวกันก็มีชื่อด้านตรงข้ามในแง่ของความบอบบางจนกล่าวกันว่า ลิลลี่งูเห่าเป็นพืชกินแมลงที่เลี้ยงยากที่สุดในโลก แม้แต่ในถิ่นที่ลิลลี่งูเห่ากำเนิดเป็นดงใหญ่ ชาวบ้านในละแวกนั้น ขุดมาใส่กระถางก็ยังตาย ดาร์ลิงโทเนีย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Darlingtonia californica ค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1841 โดยผู้ช่วยนักพฤกษศาสตร์นาม J.D. Brackenridge ในหนองน้ำแฉะทางตอนเหนือของรัฐ californica ซึ่งมีภูมิอากาศคล้ายคลึงกับประเทศไทย
6. Heliamphora
เป็นพืชที่มีเหมือกเหนียวสำหรับดักแมลง กลไกของดอกจะมีซอกซับซ้อนที่ทำให้แน่ใจว่าไม่สามารถมีเหยื่อเล็ดรอดไปได้ และเหยื่อจะถูกละลายด้วยน้ำเมือกที่เป็นกรด
7. Drosera หรือ หยาดน้ำค้าง
หยาดน้ำค้างเป็นพืชกินสัตว์สกุลใหญ่สกุลหนึ่ง มีอยู่ประมาณ 170 ชนิด เป็นสมาชิกในวงศ์หญ้าน้ำค้าง ล่อ, จับ และย่อยแมลงด้วยต่อมเมือกของมันที่ปกคลุมอยู่ที่ผิวใบ แมลงจะใช้เป็นสารเสริมทดแทนสารอาหารที่ขาดไปจากดินที่ต้นหยาดน้ำค้างขึ้น อยู่ มีหลากหลายชนิด ต่างกันทั้งขนาดและรูปแบบ สามารถพบได้แทบจะในทุกทวีป
ในประเทศไทยพบหยาดน้ำค้างอยู่ 3 ชนิดคือ จอกบ่วาย (Drosera burmannii Vahl), หญ้าน้ำค้าง (Drosera indica L.) และ หญ้าไฟตะกาด
8. Dionaea/Venus Flytrap หรือ กาบหอยแครง
กาบหอยแครง (อังกฤษ: Venus Flytrap) เป็นพืชกินสัตว์ที่ดักจับและย่อยกินเหยื่อที่จับได้ ซึ่งส่วนมากเป็นแมลงและแมง กาบหอยแครงมีโครงสร้างกับดักคล้ายคล้ายบานพับแบ่งออกเป็น 2 กลีบ อยู่ที่ปลายใบของแต่ละใบ และมีขนกระตุ้นบางๆบนพื้นผิวด้านในกับดัก เมื่อแมลงมาสัมผัสขนกระตุ้นสองครั้ง กับดักจะงับเข้าหากัน การที่ต้องการสิ่งกระตุ้นที่ซับซ้อนนี้ก็เพื่อป้องกันการสูญเสียพลังงานไป กับการดักจับสิ่งอื่นที่ไม่ใช่อาหาร
9. Nepenthes หรือ หม้อข้าวหม้อแกงลิง
หม้อ (Pitcher) ของต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง คือเครื่องมือของนายพราน - กับดักสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก - ที่พืชสกุลนี้ส่วนใหญ่ (แต่ไม่ทุกต้น) มีไว้เพื่อหาอาหารที่ขาดแคลนในแหล่งดิน มันหลอกล่อเหยื่อให้เดินเข้ากับดักโดยอาศัยกลิ่นเลียนแบบกลิ่นอาหารตาม ธรรมชาติของเหยื่อ อาจเป็นกลิ่นน้ำหวาน กลิ่นเนื้อสัตว์ กลิ่นแมลงเพศเมีย ฯลฯ หรือยั่วยวนเหยื่อด้วยสีสัน หรือน้ำหวาน หม้อข้าวหม้อแกงลิง บางสายพันธุ์สามารถสะท้อนแสงยูวี (Ultraviolet)จากบริเวณปากหม้อ โดยเฉพาะหม้อแถบบอร์เนียว หลักการคล้ายกับการล่อแมลงโดยใช้แสงจากหลอดที่ชาวบ้านเรียกแบล็คไลท์ใช้ล่อ แมงดานา หม้อข้าวหม้อแกงแกงลิงก็มีแบล็คไลท์เพื่อล่อแมลงกลางคืน ด้านในและใต้ส่วนที่งุ้มโค้งของปากหม้อ (peristome) ส่วนใหญ่เป็นแหล่งผลิตน้ำหวานปริมาณ
N. mirabilis ชอบกินมดมาก เมื่อมดแมลงพยายามชะโงกตัวดูดกินน้ำหวานใต้ปากหม้อที่ลื่นและผิวเป็นคลื่น ตามแนวที่เหยื่อชะโงกอยู่ยืน นอกขจากนี้ ผิวที่ปากหม้อยังมีไขมันเคลือบเป็นมัน เหยื่อจึงมีโอกาสพลัดตกลงไปในหม้ออย่างง่ายดาย
หม้อ แต่ละชนิด จะดึงดูดเหยื่อไม่เหมือนกัน เช่นหม้อข้าวหม้อแกงลิงของไทยที่ชื่อ Nepenthes mirabilis เก่งในการล่อมดดำให้ตกลงไปในหม้อคราวละมากๆ บางครั้งเคยเห็นหม้อที่มีมดเกือบเต็ม ในขณะที่หม้ออัลบอ (N. albomarginata ) เก่งในทางหลอกล่อปลวก
10.Byblis
เป็นพืชที่เล็กที่สุดในตะกูลต้นไม้กินแมลง ใบผิวของขนหนาแน่นด้วยต่อมขับ เมือก สารจากปลายของเกสร ดึงดูดแมลงเล็กๆให้มาติดกับ ซึ่งเมื่อสัมผัสหลั่งเหนียว ก็จะไม่มีความแข็งแรงพอที่จะหลบหนี แมลงหรือเหยื่อก็จะเสียชีวิตด้วยความอ่อนเพลียทำให้หายใจไม่ออก เมื่อเมือกปกคลุมและอุดตันเส้นทางหายใจ

วันจันทร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2556

เอเธนส์ปลุกถนนที่เคยมืดมิดให้สว่างไสวด้วยโคมไฟบริจาค


Aris 20kamarwtos 133322 Full 600x4501
ถนนเส้นหนึ่งในแถบโมนาสทีราคี (Monastiraki) ในกรุงเอเธนส์เคยเป็นสถานที่อโคจรแบบจำยอมเนื่องจากขาดแคลนแสงไฟมาแรมปีเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ผู้คนเริ่มทะยอยย้ายออกไปทีละครอบครัว ร้านรวงเริ่มปิดตัวลง ถนนแห่งนี้เริ่มเงียบเชียบเงียบเหงา
เพื่อ ‘ปลุก’ ให้พื้นที่แห่งนี้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง กลุ่มศิลปินที่ชื่นชอบอินสตอลเลชั่นอาร์ตเกี่ยวกับแสงอย่าง Beforelight จึงร่วมกับ Imagine the City ในการทำโปรเจ็กต์ Syn-oikia Pittaki ให้เป็นจริงขึ้นมา โดยโปรเจ็กต์นี้ก็ไม่มีอะไรยากมาก ถ้าถนนแห่งนี้มันเป็นที่อโคจรเพราะมืดก็เติมแสงไฟให้มันซะสิ!
ทางทีมงานเริ่มจากการเรี่ยไรโคมไฟเก่าหรือโคมไฟเจ๊งแล้วจากคนในท้องถิ่น แล้วขอห้องแถวร้างหนึ่งห้องไว้เป็นที่ ‘โม’ โคมไฟเหล่านี้ให้กลับมาใช้การได้อีก แน่นอนว่าคนแถวนั้น หากใครว่างๆ ก็สามารถแวะมาช่วยกันซ่อมโคมไฟได้ โคมไฟแต่ละอันจากบ้านแต่ละหลัง หลากแบบต่างสไตล์ แต่พอมารวมกันแล้ว ดูสิ! สวยแค่ไหน และที่สำคัญคือถนนสายเก่าแห่งนี้กลับขึ้นมามีชีวิตชีวาได้อีกครั้งด้วยฝีมือของคนในท้องถิ่นเองด้วย
แน่นอนว่าด้วยความครีเอทีฟแบบไม่ต้องพยายามมากแบบนี้ ปัจจุบันถนนสายโคมไฟ (ที่คนเอเธนส์เรียกกัน) กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งใหม่ในกรุงเอเธนส์ไปซะแล้ว