วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ผักหลากสีให้คุณค่าแตกต่างกัน

เวลาเราเลือกซื้อผักผลไม้สดมาทาน เราอาจไม่เคยสนใจเลือกซื้อผักหรือผลไม้ให้หลากหลายสีสรร แต่มักเลือกซื้อ เอาที่เฉพาะชนิดที่เราชอบทาน แต่เพื่อนๆทราบหรือไม่ว่า ผักแต่ละสีนั้น ให้คุณค่าทางโภชนาการที่แตกต่างกัน คุณหมอ จึงมักแนะนำ ให้เราเลือกทานผักให้หลากหลายสีสรร สลับสับเปลี่ยนกันไป ให้อาหารเป็นยา วันนี้เราลองมาดูคุณค่า ของผักแต่ละสีกัน เผื่อคราวหน้า การเลือกซื้อผักของเรา จะเปลี่ยนไปค่ะ
ผักสีแดง จะอุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่ต่างๆมากมาย โดยเฉพาะวิตามินบี1 จะมีปริมาณมากเป็นพิเศษ ซึ่งเป็น สารอาหารสำคัญช่วยลดอาการอ่อนล้าและมีส่วนช่วยให้การพัฒนาของสมองดีมีความจำแม่นยำ
นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มพลังให้มีชีวิตชีวา คนที่แพ้อากาศหนาวหรือขี้หนาว สามารถเพิ่มความอบอุ่นแก่ร่างกาย ได้ด้วยการรับประทานผัก-ผลไม้สีแดง อย่างเช่น มะเขือเทศ สตอบอร์รี่ เป็นต้น เนื่องจากสีแดงในผักผลไม้เหล่านี้มีสรรพคุณที่ช่วยให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย นอกจากนี้สารสีแดง ยังมีส่วนช่วยกระตุ้นระบบ การย่อยและดูดซึมสารอาหาร ยิ่งไปกว่านั้นในแง่ของจิตใจ การกินผักผลไม้สีแดงยังช่วยทำให้เจริญอาหาร และทำให้รู้สึก มีชีวิตชีวาอย่างที่ไม่มีสีใดเสมอเหมือน
ผักสีส้ม จะช่วยขับอนุมูลอิสระและสารพิษ ผัก-ผลไม้สีส้มอย่างส้ม ฟักทอง แครอต และมะละกอ เป็นผักผลไม้ที่มีสีอบอุ่น แถมยังช่วยกระตุ้นการขับถ่ายของเสียและสารพิษออกจากร่างกาย นอกจากนี้ผักผลไม้สีส้มเหล่านี้จะอุดมไปด้วยสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งสามารถต้านอนุมูลอิสระได้อย่างดี และยังช่วยยับยั้งการเกิดเซลล์มะเร็งได้
ผักสีเหลือง เป็นผักอีกชนิดหนึ่งที่มีคุณค่าทางอาหารสูง เช่นสารอาหารที่มีอยู่ในหน่อไม้ มีทั้ง โปรตีน ไขมัน น้ำตาล เกลือแร่ วิตามินบี1 บี2 และซี และยังมีกรดอะมิโนที่ร่างกายขาดไม่ได้อีกหลายชนิด ช่วยในการย่อยอาหารและป้องกันอาการท้องผูก ช่วยให้อารมณ์แจ่มใสเบิกบาน สำหรับผัก-ผลไม้สีเหลืองที่แสนอร่อยและน่ากินก็ได้แก่ ข้าวโพด ดอกโสน กล้วย มะม่วงสุก สับปะรด และแคนตาลูป เป็นต้น ถ้าหากใครที่กำลังเครียดๆ หรือรู้สึกหดหู่เศร้าซึมกับชีวิต ถ้าได้รับประทานผัก-ผลไม้สีนี้ดูสักหน่อยรับรองว่าจะหายเครียดเป็นปลิดทิ้ง เพราะผักสีนี้มีสารที่ช่วยผ่อนคลายระบบประสาท และช่วยเพิ่มพูนภูมิต้านทานของร่างกายให้แข็งแรงขึ้น
สีเขียวตองอ่อน ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค ผัก-ผลไม้สีเขียวตองอ่อนคือแหล่งรวมวิตามิน และแร่ธาตุที่ดีต่อร่างกายมากมาย เช่น องุ่นเขียว มะเฟือง มะระ อะโวคาโด และกีวี่ นอกจากนี้ยังมีมะนาว ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ช่วยเสริมสร้างร่างกายให้มีภูมิต้านทานโรคที่แข็งแรงขึ้น และยังช่วยทำความสะอาดหลอดลม และชะล้างเชื้อโรคได้เป็นอย่างดี

ผักสีเขียวเข้ม ผักใบสีเขียวทั้งหลาย มีสารอาหารมากมาย โดยเฉพาะมะเขือยาว ซึ่งจะมีโปรตีนและแคลเซี่ยมมากว่าในมะเขือเทศถึง 3 เท่าและยังสามารถช่วยรักษาเส้นเลือดให้แข็งแรง จึงช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูงและโรคลักปิดลักเปิดได้อีกด้วย จึงช่วยบำรุงสุขภาพให้สดชื่น พืชผักสีเขียวสด เช่น ผักบุ้ง ผักคะน้า ตำลึง ผักขม และบร็อกโคลี่ พืชผักสีเขียวช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง และลดการอักเสบติดเชื้อได้ แถมยังมีส่วนช่วยทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่ไม่เป็นมิตรต่อสุขภาพได้อีกด้วย
ฉะนั้นถ้าไม่อยากเป็นหวัด ท้องผูก หรือสิวขึ้นเต็มหน้า ก็ควรหมั่นรับประทานผัก-ผลไม้เหล่านี้เป็นประจำ และทางที่ดีควรรับประทานให้หลากหลายสีสัน เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินและแร่ธาตุต่างๆอย่างครบถ้วน เป็นการสร้างสุขภาพให้สวยงามสมส่วน และแข็งแรง
ผักสีม่วง
ผักจำพวกเผือกหรือมันมีสารอาหารสำคัญ จำพวก แป้ง น้ำตาล เกลือแร่ และวิตามินอีกหลายชนิด อย่างในมันเทศมีวิตามินเอมากจะช่วยบำรุงสายตาป้องกันโรคตาบอดกลางคืน ส่วนเผือกจะมีธาตุฟลูออไรด์สูง ซึ่งจะช่วยป้องกันโรคฟันผุ
รู้อย่างนี้แล้วมาทานผักกันเถอะเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง ป้องกันโรคต่างๆได้อีกด้วย

วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554

นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส

นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส (Premier ministre français) เป็นตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาลและคณะรัฐมนตรีของประเทศฝรั่งเศส ส่วนประมุขแห่งรัฐของประเทศฝรั่งเศสคือประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส

นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของประเทศฝรั่งเศสคือ ฟรองซัวส์ ฟียง ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี นิโกลาส์ ซาร์โกซี เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2550
การตัดสินใจหรือกฤษฎีกาของนายกรัฐมนตรี เสมือนกับการตัดสินใจทั้งหมดของฝ่ายบริหาร มีหน้าที่สอดส่องดูแลระบบสภาในหน่วยการบริหารทั่วประเทศ (Conseil d'État) บางครั้งนายกรัฐมนตรีได้รับคำปรึกษาจากสภาก่อนจะประกาศใช้กฤษฎีกา
เป็นที่รู้กันว่ารัฐมนตรีแต่ละท่านต้องการปกป้องนโยบายและโครงการในกระทรวงของตน แต่ก็ยังติดอยู่ที่งบประมาณ ซึ่งนายกรัฐมนตรีนี้เองเป็นคนชี้ขาดในเรื่องเหล่านี้ แม้ว่าบางครั้งประธานาธิบดีจะมีนาจและอิทธิพลเหนือกว่าก็ตาม
เนื่องจากนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ดูแลนโยบายของรัฐบาล เมื่อเกิดความผิดพลาดและล้มเหลวก็จะกลายเป็นคนที่ถูกประณามและตำหนิไปโดยปริยาย ผลที่ตามมาก็คือความนิยมที่มีสูงในช่วงแรกและลดฮวบลงขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หลายคนคิดว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นการส่งเสริมความสำเร็จของประธานาธิบดี และยังเป็นที่โต้เถียงอย่างมากว่าเป็นตำแหน่งที่อันตรายเพราะความเป็นไปได้ของการลดความนิยม
เกร็ดข้อมูล

 อายุเมื่อเข้าดำรงตำแหน่ง

 ระยะเวลาในโอเต็ล มาติญง

ระยะเวลาที่อยู่ในโอเต็ล มาติญงนานที่สุด :
  1. จอร์จ ปอมปิดู : 2,279 วัน หรือ 6 ปี 2 เดือน 26 วัน
  2. ลีโอเนล โฌส์แปง : 1,799 วัน หรือ 4 ปี 11 เดือน 4 วัน
  3. เรย์มงด์ บาร์ : 1,727 วัน หรือ 4 ปี 8 เดือน 23 วัน
  4. ฌากส์ ชีรัก : 1,602 วัน (สองสมัย 820 วัน และ 782 วัน) หรือ 4 ปี 4 เดือน 19 วัน
ระยะเวลาที่อยู่ในโอเต็ล มาติญงสั้นที่สุด :
  1. เอดิต เครซซง : 321 วัน หรือ 10 เดือน 16 วัน
  2. โมริส กูฟ เดอ มูร์วิลล์ : 341 วัน หรือ 11 เดือน 6 วัน
  3. ปีแอร์ เบเรโกวัว : 360 วัน หรือ 11 เดือน 26 วัน

จำนวนนายกรัฐมนตรีต่อประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส

นายกรัฐมนตรีที่เคยลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดี

วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2554

การปฏิวัติฝรั่งเศส

การปฏิวัติฝรั่งเศส เป็นช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์ยุโรป เกิดขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 2332 - 2342 เป็นการปฏิวัติที่โค่นล้มสถาบันกษัตริย์ฝรั่งเศส และสถาปนาสาธารณรัฐขึ้น การปฏิวัตินี้มีความสำคัญ เพราะเป็นจุดหักเหในประวัติศาสตร์การปกครองของยุโรปสาเหตุของการปฏิวัติ
สาเหตุของการปฏิวัติฝรั่งเศสนี้อาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ

สาเหตุที่ฝังรากลึก

สาเหตุที่ฝังรากลึก หรือ Les causes profondes ได้แก่ สภาพทางสังคม, การบริหารประเทศที่ไม่ทันสมัย, และการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม

สภาพทางสังคม

สมัยนั้น สังคมของฝรั่งเศสก่อนหน้าการปฏิวัตินั้น แบ่งได้เป็น 3 ฐานันดร คือ
  1. นักบวช มีประมาณ 115,000 คน ยังแบ่งเป็นกลุ่มย่อยอีก 2 กลุ่มคือ
    • นักบวชชั้นสูง เช่น มุขนายก คาร์ดินัล พวกนี้จะใช้ชีวิตอย่างหรูหราราวกับเจ้าชาย
    • นักบวชชั้นล่าง ได้แก่นักบวชทั่วไป มีฐานะใกล้เคียงกับชนชั้นใต้ปกครอง โดยมากมีชีวิตค่อนข้างแร้นแค้น
  2. ขุนนาง มีประมาณ 400,000 คน แบ่งเป็นกลุ่มย่อย 3 กลุ่มคือ
    • ขุนนางโดยเชื้อสาย (La noblesse d'épée) สืบเชื้อสายมาจากตระกูลขุนนางต่างๆ
    • ขุนนางรุ่นใหม่ (La noblesse de robe) ได้รับตำแหน่งจากการรับใช้พระมหากษัตริย์ มักจะมีความกระตือรือร้นที่จะได้รับการยอมรับจากสังคมเท่าขุนนางพวกแรก
    • ขุนนางท้องถิ่น (La noblesse de province) มีฐานะสู้ขุนนางสองประเภทแรกไม่ได้ มักจะโจมตีชนชั้นปกครองพวกอื่นเรื่องการเอาเปรียบสังคม
  3. ฐานันดรที่สาม (tiers état) ได้แก่ ชนชั้นกลางและชาวนา (ประมาณ 25.5 ล้านคนในสมัยนั้น) มีประมาณ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ
สองฐานันดรแรกซึ่งมีจำนวนเพียงเล็กน้อย ถือครองที่ดินส่วนมากของประเทศ และมีตัวแทนอยู่ในรัฐสภา ทำให้ฐานันดรที่ 3 ไม่พอใจเนื่องจากมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงกันอยู่มาก

การบริหารประเทศที่ไม่ทันสมัย

ระบบการบริหารประเทศล้าหลัง ไม่เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เช่น การเก็บภาษีอย่างไม่เป็นระบบ (อัตราภาษีศุลกากรในแต่ละจังหวัดต่างกัน, การเก็บภาษีไม่ทั่วถึง, ประเภทภาษีล้าสมัย) ระบบกฎหมายยุ่งเหยิง (ส่วนเหนือของประเทศใช้กฎหมายจารีตประเพณีอย่างอังกฤษ, ส่วนใต้ใช้กฎหมายโรมัน) การยกเว้นภาษีให้สองฐานันดรแรกที่มีฐานะร่ำรวย ทำให้ฐานันดรที่สามที่มีฐานะยากจนอยู่แล้วต้องรับภาระภาษีของประเทศไว้ทั้งหมด เมื่อสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงทำสงครามสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย จึงทรงรีดเอากับประชาชน ทำให้มีความเป็นอยู่แร้นแค้นยิ่งขึ้น อีกทั้งในยามสงบราชสำนักยังใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย ทั้งการพนันบ้าง พระนางทรงเป็นผู้ล้ำหน้าในเรื่องของทรงผมและการแต่งกายมากๆ และ ฉลองพระองค์ กับ ทรงพระเกศา จะต้องเข้ากันได้กับ ผลไม้ และเฟอร์นิเจอร์ในห้องนั้นๆ พระนางจึงจะพอใจ โดยเฉพาะกรณี สร้อยพระศอของพระนางแมรี่อังตัวเนต ซึ่ง พระนางได้ซื้อสร้อยมาแล้ว ปรากฏว่า มีคนมาทวงเงินค่าสร้อยพระศอ แล้วพระนางไม่จ่ายเงิน สุดท้ายเรื่องถึงศาล และในที่สุด คนที่มาทวงเงินค่าสร้อยพระศอตกเป็นจำเลยในที่สุด ทำให้เรื่องดังกล่าว ถูกนำมาพูดต่อๆ กันมานอกพระราชสำนัก

 การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม

ในยุคนั้นได้มีการตื่นตัวทางความคิดในเรื่องของ สิทธิมนุษยชน เสรีภาพ การฟังแล้วคิดวิเคราะห์ไม่ได้เชื่อใครง่ายเกินไป ซึ่งเมื่อก่อน ประชาชนในฝรั่งเศสต้องฟังข่าวสารจากพระ และขุนนาง และนักเขียนเช่นวอลแตร์และรุสโซมีอิทธิพลต่อความคิดของปัญญาชนในยุคนั้น ที่ได้รับแนวคิดจากหนังสือที่ชื่อ เดอะ ปริ๊นต์ (เจ้าผู้ครองนคร) โดย นิโคโล แมคเคียววี่ ซึ่งเขียนใน ช่วง คริสต์ศตวรรษที่ 15 และผลของการศึกษาวรรณกรรมนี้เอง ทำให้ประชาชนเริ่มมีการไม่เห็นด้วยกับระบบการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เพราะว่า มีแนวคิดที่ว่า อำนาจการเมืองซึ่งเคยเป็นของพระเจ้า ซึ่งส่งผ่านมาไว้ที่ พระสันตปาปา ตามด้วย กษัตริย์ สุดท้ายก็ตกมาอยู่กับประชาชน และผู้ได้ศึกษาวรรณกรรมชิ้นนี้ บางคนได้ซาบซึ้ง และได้เกิดแนวคิด สาธารณะรัฐขึ้น ทำให้ในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ตอนต้นนั้นก็เคยได้เกิดการลุกขึ้นสู้ของประชาชน ซึ่งร่วมมือกับ ขุนนางที่เสียผลประโยชน์ให้กับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 อันเนื่องมาจากการปฏิรูปการปกครองให้กลายเป็นสมบูรณาญาสิทธิราช จากระบอบศักดินา ผลที่ได้ ฝ่ายประชาชนและขุนนางที่เป็นแกนนำได้ถูกปราบปรามโดย สังฆราชที่ชื่อ มาซาแรง และแกนนำได้ถูกขังตลอดชีวิต ส่วนประชาชนที่เป็นมวลชน ไม่ได้รับโทษ
ถึงแม้ว่าประชาชนจะเป็นฝ่ายแพ้ แต่ในอีก 158 ปีถัดมา ก็ได้เกิดการปฏิวัติใหญ่ในฝรั่งเศส

 สาเหตุจากปัจจัยที่ส่งผลกระทบรวดเร็ว

สาเหตุจากปัจจัยที่ส่งผลกระทบรวดเร็ว หรือ Les cause immédiates มีสาเหตุหลักเริ่มต้นมาจาก
1.ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และการพยายามแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจนั้น
2.ภูมิอากาศในฝรั่งเศสในช่วงนั้นได้หนาวมาก จนกระทั่งชาวนาได้เก็บเกี่ยวผลผลิตได้น้อยมาก
3.พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ได้ส่งกองกำลังทหารไปที่ทวีปอเมริกา เพื่อไปทำสงครามกับอังกฤษ เพื่อปลดปล่อยชาวอาณานิคมในสมัยนั้นให้เป็นเอกราช ทั้งนี้ก็เพราะว่าในสมัยพระหลุยส์ที่ 15 ได้ถูกกษัตริย์จอร์จแห่งอังกฤษ ได้ขับไล่กองทัพฝรั่งเศสออกไปจากอาณานิคมที่ทวีปอเมริกาจนหมดสิ้น ดังนั้นพอถึงสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 พระองค์จึงต้องการทำสงครามปลดปล่อยอาณานิคมที่ทวีปอเมริกา เพื่อเป็นการแก้แค้น และพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ต้องออกค่าใช้จ่าย ไป 2000 ล้านลีฟว์ (ซึ่งเป็นเงินที่กู้มาจากต่างประเทศ) ในปี พ.ศ. 2319
4.การสร้างพระราชวังแวร์ซายในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 อันเนื่องมาจากความกลัวว่าประชาชนจะลุกขึ้นมาต่อสู้กับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 อีก ดังนั้น พระองค์จึงมีพระบรมราชองค์การให้สร้างพระราชวังแวร์ซาย ที่นอกเมืองปารีส
5.การทำสงครามขยายดินแดนฝรั่งเศสไปทางสเปน ในปลายสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14
สาเหตุดังกล่าวทำให้ไม่สามารถนำเงินมาชำระดอกเบี้ยได้ อีกทั้งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศนั้นได้หยุดชะงักลงตั้งแต่ราว ๆ ปี พ.ศ. 2270
แล้ว
พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 จึงทรงแต่งตั้ง ชาค เนคเกร์ ซึ่งเนคเกร์ได้มีนโยบายเก็บภาษีของขุนนางและพระสงฆ์ เพื่อไปจุนเจือ ฐานันดรที่ 3 แต่ได้ประสบกับการต่อต้านอย่างแข็งขันจากชนชั้นขุนนาง และพระที่ไม่ต้องการถูกเก็บภาษี ทำให้ขุนนาง และพระเหล่านั้นไปร้องเรียนต่อพระนางแมรี่อังตัวเนต และพระนางเองก็ได้ไปกดดันพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ให้ปลด ชาค เนคเกร์ ทำให้ภาระหนักตกอยู่กับราษฎรธรรมดาเช่นเดิม
การฟื้นฟูเศรษฐกิจตามแนวคิดของตูร์โกต์ เริ่มขึ้นเมื่อเขารับตำแหน่งเป็นเสนาบดีการคลังในปี พ.ศ. 2319 เขาเป็นผู้ที่นิยมนโยบายเศรษฐกิจแบบเสรี เขาผลักดันให้มีการรวมศูนย์การเก็บภาษี เพื่อให้เป็นระบบและได้เม็ดเงิมเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น และให้มีการเปิดเสรีการค้า แต่ด้วยนโยบายที่เสรีของเขาทำให้ฝ่ายอนุรักษ์นิยม ได้แก่ พระสงฆ์ ขุนนาง นำโดยพระมเหสีคือ พระนางมารี อองตัวเนตไม่พอใจ และพากันกดดันพระเจ้าหลุยส์ให้ปลดเขาออกจากตำแหน่ง เขาจึงถูกปลดหลังจากดำรงตำแหน่งได้ 2 ปี คือในปี พ.ศ. 2321
ผู้ที่ดำรงตำแหน่งสืบต่อจากเขา คือ เนคเกร์ เขาใช้นโยบายตัดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลและขยายฐานภาษี ทำให้เก็บได้ทั่วถึงกว่าเดิม เขาทำหน้าที่ได้เป็นที่พอใจของประชาชน แต่ไปขัดผลประโยชน์ของชนชั้นสูงจึงถูกปลดออกในปี พ.ศ. 2324
ในปี พ.ศ. 2331 ได้เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ เนื่องจากการเพาะปลูกไม่ได้ผล (ประเทศฝรั่งเศสสมัยนั้นเป็นประเทศเกษตรกรรม) ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนข้าวสาลี ก่อนหน้านั้นในปี พ.ศ. 2329 ประเทศจำเป็นต้องหยุดการนำเข้าขนแกะและเสื้อผ้าจากสเปน ประเทศจึงต้องนำเข้าสินค้าดังกล่าวจากอังกฤษแทน สินค้าจากอังกฤษได้เข้ามาตีตลาดฝรั่งเศส จนอุตสาหกรรมหลายอย่างของชาวฝรั่งเศสต้องปิดตัวลง ประชาชนไม่พอใจและเกิดความไม่มั่นใจต่อเสถียรภาพของประเทศ
ผู้ที่ดำรงตำแหน่งต่อจากเนคเกร์คือ คาลอนน์ เขาดำเนินการตามแผนที่ปรับปรุงมาจากการดำเนินงานของตูร์โกต์ โดยเขาได้ยกเลิกภาษีโบราณบางประเภท และได้สร้างภาษีที่ดินแบบใหม่โดยทุกคนที่ถือครองที่ดินจะต้องเสีย เขาได้ทำการเรียกประชุมสภา l'assemblée des notables เพื่อให้อนุมัติภาษีใหม่นี้ แต่สภาไม่ยอม คาลอนน์ถูกปลดในปี พ.ศ. 2330
ความขัดแย้งระหว่างสภา (ประกอบด้วยฐานันดรขุนนาง) และรัฐบาลเลวร้ายลงจนกลายเป็นความวุ่นวาย พวกขุนนางได้ขอให้พระเจ้าหลุยส์เรียกประชุมสภา les états généraux ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนชนชั้นขุนนาง พระสงฆ์และประชาชนทั่วไป รวมทั้งผู้ก่อความวุ่นวายที่ทำให้ประเทศอยู่ในภาวะอนาธิปไตยเป็นเวลา 1 ปีเต็ม ขึ้น เพื่อบีบบังคับพระเจ้าหลุยส์ให้ทำตามความต้องการของพวกขุนนาง โดยใช้มติของสภานี้กดดันพระองค์

 การปฏิวัติ

 Les états généraux

ในปี พ.ศ. 2331 พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เรียกประชุมสภา les états généraux(สภาฐานันดร)ซึ่งมีการประชุมครั้งสุดท้ายในปี พ.ศ. 2157 ก่อนหน้าการประชุม ได้มีการถวายฎีกาทั่วประเทศ มีการควบคุมและห้ามการเผยแพร่ใบปลิวที่มีเนื้อหาเสรีจนน่าจะเป็นอันตราย เนคเกร์ที่ถูกเรียกกลับมาดำรงตำแหน่งในปี พ.ศ. 2331 ได้เรียกร้องให้มีการเพิ่มจำนวนตัวแทนจากชนชั้นที่ 3 ให้มากขึ้นเป็น 2 เท่า เพราะจำนวนตัวแทนในขณะนั้นมีน้อยเกินไป และเขายังเรียกร้องให้ปลดตัวแทนบางส่วนจากชนชั้นที่ 1 และ 2 อีกด้วย
สภาฐานันดร (les états généraux) ได้มีการประชุมที่พระราชวังแวร์ซายส์ในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2332 การประชุมครั้งนี้ใช้ระบบลงคะแนนคือ 1 ฐานันดรต่อ 1 เสียง ซึ่งไม่ยุติธรรม เพราะฐานันดรที่สามซึ่งมีจำนวนถึง 90% ของประชากรกลับได้คะแนนเสียงเพียง 1 ใน 3 ของสภา และวิธีการลงคะแนนนี้จะทำให้ฐานันดรที่สามไม่มีทางมีเสียงเหนือกว่า 2 ฐานันดรแรก โดยเสนอให้ลงคะแนนแบบ 1 คน 1 เสียงแทน เมื่อข้อเสนอนี้ถูกปฏิเสธ ทำให้ตัวแทนฐานันดรที่ 3 ไม่พอใจเป็นอย่างมากจึงไม่เข้าร่วมการประชุม และไปตั้งสภาของตนเองเรียกว่าสมัชชาแห่งชาติ ซึ่งเปิดประชุมเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ปีเดียวกัน. สภานี้ยังมีตัวแทนจากฐานันดรที่ 1, 2 บางส่วนเข้าร่วมประชุมด้วย ได้แก่ตัวแทนส่วนใหญ่ของชนชั้นนักบวช และตัวแทนที่เป็นขุนนางหัวสมัยใหม่นำโดยมิราโบ
สมัชชาแห่งชาตินี้ประกาศว่า สภาของตนเท่านั้นที่มีสิทธิ์ขึ้นภาษี เนื่องจากไม่ไว้วางใจการทำงานของรัฐบาลของพระเจ้าหลุยส์ ที่สนับสนุนแต่ขุนนางและพระสงฆ์ พระเจ้าหลุยส์พยายามหาทางประนีประนอมโดยเสนอว่าจะจัดประชุมสภาฐานันดร (les états généraux) ขึ้นอีกครั้งพวกขุนนางและพระสงฆ์ตอบตกลง แต่สมาชิกสมัชชาแห่งชาติ ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมประชุม โดยไปจัดการประชุมของตัวเองขึ้นที่สนามเทนนิส (สมัยนั้นเรียกว่า Jeu de paume) ในวันที่ 20 มิถุนายน โดยมีมติว่าจะไม่ยุบสภานี้จนกว่าประเทศฝรั่งเศสจะได้รัฐธรรมนูญ

 เปิดฉากการปฏิวัติ

หลังจากที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ถูกกดดันจากกองทัพ พระองค์ก็ทรงเรียกร้องให้ตัวแทนจาก 2 ฐานันดรแรกเข้าร่วมประชุมสภา Assemblée Nationale ด้วยเพื่อร่างรัฐธรรมนูญ ทำให้เกิดสภาใหม่ในวันที่ 9 กรกฎาคมคือ Assemblée Nationale Constituante เพื่อร่างรัฐธรรมนูญ

 การทลายคุกบาสตีย์

ดู: การโจมตีคุกบาสตีย์
แต่หลังจากนั้นไม่นาน พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศสก็ได้รับการกดดันอีกครั้งจากพระนางมารี อองตัวเนต และน้องชายของพระเจ้าหลุยส์คือ Comte d'Artois ซึ่งจะได้เป็นพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 10 แห่งฝรั่งเศสในอนาคต ทำให้พระองค์ทำการเรียกกองทหารที่จงรักภักดีต่อพระองค์จากต่างประเทศเข้ามาประจำการในกรุงปารีสและพระราชวังแวร์ซายส์ ทำให้เกิดความโกรธแค้นในหมู่ประชาชน นอกจากนี้พระเจ้าหลุยส์ยังทรงปลดเนคเกร์ลงจากตำแหน่งอีกครั้ง ทำให้ประชาชนออกมาก่อจลาจลเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม และยึดคุกบาสตีย์ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์พระราชอำนาจของกษัตริย์ได้ในวันที่ 14 กรกฎาคม
หลังจากนั้นพระเจ้าหลุยส์ก็เรียกเนคเกร์มาดำรงตำแหน่งอีกครั้งในวันที่ 16 กรกฎาคม เนคเกร์ได้พบกับประชาชนที่ศาลาว่าการกรุงปารีส (l'Hôtel de Ville) ซึ่งถูกประดับไปด้วยธงสามสีคือแดง ขาว น้ำเงิน วันเดียวกันนั้น Comte d'Artois ก็ได้หนีออกนอกประเทศ ถือเป็นสมาชิกราชวงศ์คนแรก ๆ ที่หนีออกนอกประเทศในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส
หลังจากนั้นไม่นาน เทศบาลและกองกำลังติดอาวุธของประชาชน (Garde Nationale) ก็ได้ถูกตั้งขึ้นอย่างรีบเร่งโดยประชาชนชาวปารีส โดยในไม่ช้าทั่วประเทศก็มีกองกำลังติดอาวุธของประชาชนตามอย่างกรุงปารีส กองกำลังนี้อยู่ใต้การบัญชาการของนายพลเดอลาฟาแยตต์ ซึ่งท่านผู้นี้เคยร่วมรบในสงครามกู้อิสรภาพของสหรัฐอเมริกามาก่อน เมื่อพระเจ้าหลุยส์เห็นว่าทหารต่างชาติไม่สามารถรักษาความสงบไว้ได้ ก็ทรงปลดประจำการทหารเหล่านั้น

ผลของการปฏิวัติในช่วงแรก

 การยุติสิทธิพิเศษต่าง ๆ

สภา Assemblée Nationale ได้ประกาศว่าประชาชนทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน และล้มเลิกสิทธิการงดเว้นภาษีของคณะสงฆ์ รวมทั้งให้ทุกคนมีโอกาสในการประกอบอาชีพทุกอย่างเท่าเทียมกัน ภายหลังจากการลงมติของสภาฯ ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ คือวันที่ 3-4 สิงหาคม 2332 ซึ่งได้รับมติสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากสมาชิกสภา

คำประกาศสิทธิของมนุษย์และพลเมือง

หรือ La déclaration des droits de l'homme et du citoyen
เป็นคำประกาศที่ปูทางไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากปรัชญารู้แจ้ง (Enlightened) ซึ่งเป็นปรัชญาที่ได้รับความนิยมในยุคนั้น และคำประกาศนี้ได้แบบอย่างจากรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ คำประกาศนี้ผ่านการพิจารณาของสภาฯ เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2332 มีเนื้อหาหลักแสดงถึงหลักการพื้นฐานของการปฏิวัติ ภายใต้คำขวัญที่ว่า "เสรีภาพ,เสมอภาค,ภราดรภาพ" ท ในขณะนั้นมีข่าวลือในหมู่ประชาชนว่าจะมีการยึดอำนาจคืนของฝ่ายนิยมระบอบเก่าเมื่อชาวปารีสรู้ข่าวก็มีการตื่นตัวกันขนานใหญ่ ดังนั้นประชาชนชาวปารีสซึ่งส่วนมากเป็นผู้หญิง ได้เดินขบวนไปยังพระราชวังแวร์ซายส์และเชิญพระเจ้าหลุยส์พร้อมทั้งราชวงศ์มาประทับในกรุงปารีส ในวันที่ 5-6 ตุลาคม ปีเดียวกัน โดยมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญที่อนุรักษ์นิยมตามเสด็จกลับกรุงปารีสด้วย
สำหรับสภา Assemblée Nationale ในขณะนั้นประกอบด้วยสมาชิกที่หัวก้าวหน้าเป็นส่วนมาก แต่มีภารกิจสำคัญอันดับแรกของสภาคือการดำรงสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ ดังนั้นจึงยังไม่มีการโค่นล้มสถาบันกษัตริย์ในขณะนั้น

 การปฏิรูปครั้งใหญ่

รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของฝรั่งเศสมีผลบังคับใช้เมื่อปลายปี พ.ศ. 2332 ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังต่อไปนี้
  • ตำแหน่งต่าง ๆ ในราชการไม่สามารถตกทอดไปยังลูกหลาน
  • จังหวัดต่าง ๆ ถูกยุบ, ประเทศถูกแบ่งเป็น 83 เขต (départements)
  • ศาลประชาชนถูกก่อตั้งขึ้น
  • มีการปฏิรูปกฎหมายของฝรั่งเศส
  • การเวนคืนที่ธรณีสงฆ์ แล้วนำมาค้ำประกันพันธบัตร ที่ออกเพื่อระดมทุนจากประชาชน มาแก้ไขปัญหาหนี้ของประเทศ

 การปฏิรูปสถานะของพระสงฆ์

นอกจากที่ธรณีสงฆ์จะถูกเวนคืนแล้ว การปกครองของคณะสงฆ์ในประเทศฝรั่งเศสก็ยังถูกเปลี่ยนแปลง ตามกฎหมายการปกครองคณะสงฆ์ฉบับใหม่ที่ออกเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2333 โดยใช้การปกครองประเทศเป็นแม่แบบ คือกำหนดจำนวนสังฆราช (évêque) ไว้เขต (département) ละ 1 ท่าน และให้เมืองใหญ่แต่ละเมืองมีอัครสังฆราช (archévêque) 1 ท่าน โดยสังฆราชและอัครสังฆราชแต่ละท่านจะถูกเลือกโดยสมัชชาแห่งชาติ และได้รับเงินเดือนจากรัฐบาล นอกจากนี้ ผู้ที่จะมาเป็นพระสงฆ์ในทุกระดับจะต้องสาบานตนว่าจะจงรักภักดีต่อประเทศอีกด้วย

การจับกุม ณ วาแรน

มีข่าวลือสะพัดอย่างหนาหูว่า พระนางมารี อองตัวเนตนั้น ได้แอบติดต่อกับพี่ชายของพระองค์ คือจักรพรรดิลีโอโปลด์ที่ 2 แห่งออสเตรีย เพื่อที่จะให้จักรพรรดิยกทัพมาโจมตีฝรั่งเศสและคืนอำนาจให้ราชวงศ์ พระเจ้าหลุยส์นั้นไม่ได้พยายามหนีออกนอกประเทศหรือรับความช่วยเหลือ แต่จะทรงหนีไปตั้งมั่นอยู่กับนายพลบุยเล่ ที่จงรักภักดีและสัญญาว่าจะให้ความช่วยเหลือแก่พระองค์ พระองค์เสด็จออกจากพระราชวังตุยเยอรีในตอนกลางคืนของวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2334 แต่ทรงถูกจับได้ที่เมืองวาแรน ในวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2334 ส่งผลให้ความเชื่อถือของประชาชนที่มีต่อพระองค์นั้นลดลงอย่างมาก พระองค์ถูกนำตัวกลับมากักบริเวณในกรุงปารีส

การสิ้นสุดของสภาร่างรัฐธรรมนูญ

แม้ว่าสมาชิกส่วนใหญ่ของสภาฯ จะนิยมระบอบประชาธิปไตยโดยให้พระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ มากกว่าระบอบสาธารณรัฐก็ตาม แต่ ณ ขณะนั้น พระเจ้าหลุยส์ก็ไม่ได้มีบทบาทมากไปกว่าหุ่นเชิด พระองค์ถูกบังคับให้ปฏิญาณตนต่อรัฐธรรมนูญ และให้ยอมรับเงื่อนไขที่ว่า เมื่อพระองค์กระทำการใดๆที่จะชักนำให้กองทัพต่างชาติมาโจมตีฝรั่งเศส หรือ กระทำสิ่งที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ให้ถือว่าพระองค์สละราชสมบัติโดยอัตโนมัติ
ขณะเดียวกันนั้น ฌอง ปิแอร์ บริสโซต์ ได้ร่างประกาศโจมตีพระเจ้าหลุยส์ มีสาระสำคัญว่า พระเจ้าหลุยส์ทรงสละราชสมบัติไปตั้งแต่พระองค์เสด็จออกจากพระราชวังทุยเลอรีส์แล้ว ฝูงชนจำนวนมากพยายามเข้ามาใน ชอง เดอ มาร์ส เพื่อลงนามในใบประกาศนั้น ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น สภาร่างรัฐธรรมนูญได้ขอร้องให้เทศบาลกรุงปารีสช่วยรักษาความสงบ แต่ไม่สำเร็จ ในที่สุด กองทหารองครักษ์ ภายใต้การบัญชาการของลาฟาแยตต์ ก็ได้เข้ามารักษาความสงบ ฝูงชนได้ปาก้อนหินใส่องครักษ์ ในช่วงแรก องครักษ์โต้ตอบด้วยการยิงขึ้นฟ้า แต่ไม่สำเร็จ จึงจำต้องยิงปืนใส่ฝูงชน ทำให้ประชาชนตายไปประมาณ 50 คน
หลังจากการสังหารหมู่ครั้งนี้ ทางการก็ได้ดำเนินการปราบปรามพวกสมาคมนิยมสาธารณรัฐต่างๆ รวมทั้งหนังสือพิมพ์ของพวกนี้อีกด้วย หนังสือพิมพ์เพื่อนประชาชน (l'ami du peuple) ของมาราต์ บุคคลที่มีแนวคิดแบบนี้เช่น มาราต์และเดสมูแลงต่างพากันหลบซ่อน ส่วนดังตงหนีไปอังกฤษ
ขณะที่ภายในฝรั่งเศสกำลังวุ่นวาย เหล่าราชวงศ์ของยุโรป โดยมีแกนนำคือกษัตริย์แห่งปรัสเซีย จักรพรรดิออสเตรีย และพระอนุชาของพระเจ้าหลุยส์ ก็ได้ร่วมมือกัน โดยมีเป้าหมายสำคัญคือให้พระเจ้าหลุยส์มีอิสรภาพสมบูรณ์และให้ยุบสภา Assemblée Nationale หากสิ่งเหล่านี้ไม่เกิดขึ้น ก็จะโจมตีฝรั่งเศสเพื่อให้สำเร็จตามเป้าหมาย แต่ประชาชนชาวฝรั่งเศสไม่สนใจต่อคำประกาศดังกล่าว และเตรียมการต่อต้านอย่างแข็งขัน โดยส่งกำลังทหารไปยังชายแดน

วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สงครามเวียดนาม

สงครามเวียดนาม

สงครามเวียดนาม (อังกฤษ: Vietnam War) (ค.ศ. 1957-1975) เป็นสงครามระหว่างเวียดนามเหนือ และเวียดนามใต้ที่สนับสนุนโดยสหรัฐอเมริกา เพื่อตัดสินว่าควรรวมเวียดนามเป็นหนึ่งเดียวตามข้อตกลงเจนีวา ค.ศ. 1954 หรือไม่ สงครามจบลงด้วยชัยชนะของเวียดนามเหนือ และรวมประเทศเวียดนามทั้งสองเข้าด้วยกัน ซึ่งปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศเวียดนาม ในประเทศเวียดนามเองเรียกสงครามนี้ว่า สงครามปกป้องชาติจากอเมริกัน หรือ สงครามอเมริกัน

สาเหตุของสงครามเวียดนาม

 กำเนิดขบวนการใต้ดิน

ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ขบวนการเวียดมินห์ ได้ถือกำเนิดขึ้น โดย โฮจิมินห์ เป็นผู้นำ ระยะแรก การดำเนินการนั้น เพียงเพื่อหวังว่าจะขับไล่ญี่ปุ่นออกจากประเทศไปเท่านั้น แต่ครั้นในปี ค.ศ. 1944 พวกเวียดมินห์ได้ตั้งกองบัญชาการกองโจรขึ้นโดยได้รับการสนับสนุนกำลังและอาวุธจากสหรัฐอเมริกา แต่กำลังการรบของเวียดมินห์นั้นยังเป็นกองกำลังเล็กๆ ยังไม่สามารถที่จะไปต่อต้านพวกญี่ปุ่นได้
ต่อมาในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1945 สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลงไป คือ ญี่ปุ่นได้ปลดอาวุธและขังทหารฝรั่งเศสประจำอินโดจีน จึงเป็นเหตุทำให้ฝรั่งเศสนั้นเสียศักดิ์ศรีไปมาก เพราะขณะเกิดเรื่องนี้ ญี่ปุ่นกำลังจะแพ้สงคราม ซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ชาวเวียดนามกลุ่มต่างๆ ที่ดิ้นรนเพื่อเป็นเอกราช ได้เริ่มดำเนินการทันที ซึ่งผู้นำนั้นก็คือ สมเด็จพระจักรพรรดิเบาได๋ ซึ่งเคยเป็นจักรพรรดิแคว้นอันนัม ได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็น "จักรพรรดิแห่งเวียดนาม" และต่อมาทำให้กลุ่มของสมเด็จพระจักรพรรดิเบาได๋ มีความหวังยิ่งขึ้น คือ นายพลเดอโกลล์ ได้กล่าวคลุมเครือว่าอยากให้เวียดนามปกครองตนเอง ซึ่งทำให้พวกชาตินิยมในเวียดนามต่างก็มีความหวังในเรื่องเอกราชโดยสันติวิธียิ่งขึ้นไปอีก แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาได้ทำลายความหวังลงไป เพราะกลุ่มเวียดมินห์ได้สั่งให้ประชาชนต่อต้านญี่ปุ่น แต่คำสั่งนี้มีเจตนาแอบแฝง ไว้เพื่อหวังผลอีกทางหนึ่ง โดยมีเจตนาหาทางป้องกันไม่ให้ฝรั่งเศสกลับมามีอำนาจในเวียดนามอีก

 ประกาศเอกราชในเวียดนาม

ซึ่งการที่กลุ่มเวียดมินห์นั้นได้สั่งให้ประชาชนต่อต้านญี่ปุ่น ได้ผลดีมากในทางภาคเหนือของประเทศ จักรพรรดิเบาไต๋ได้สละตำแหน่งประมุขของประเทศแล้วจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวขึ้น แล้วประกาศเอกราชในเวลาต่อมา ความสำเร็จในการยึดอำนาจครั้งนี้ ทำให้พวกคอมมิวนิสต์ที่ปะปนอยู่ในหมู่ชาตินิยมเวียดนามสามารถตั้งตนในหมู่คณะชั้นนำของขบวนการปฏิวัติได้อีก

 ต่างชาติเข้าแทรกแซง

ฝรั่งเศสยังมีความพยายามที่จะยึดครองเวียดนามอยู่ แต่โอกาสยังไม่อำนวยเพราะขาดกำลังทหารและพาหนะลำเลียง แต่เวียดนามก็ยังคงตกอยู่ในสภาพดังเดิม เพราะมหาอำนาจฝ่ายพันธมิตรผู้ชนะสงครามได้เข้ามายึดครองแทน โดยมีอังกฤษเข้ายึดครองภาคใต้ของเวียดนาม จีนคณะชาติยึดครองทางภาคเหนือของเวียดนาม ชาวเมืองต่างไม่พอใจในการกระทำของอังกฤษ นายพลเกรซี่ย์ ผู้บัญชาการกองทัพอังกฤษในเวียดนาม ได้ประกาศกฎอัยการศึกในเขตที่ยึดครอง สำหรับฝรั่งเศสมีทหารจำนวนเล็กน้อยได้มาถึงไซง่อนแล้ว ไปยึดตึกที่ทำการของรัฐบาล รื้อฟื้นอำนาจของฝรั่งเศสใหม่

 ขบวนการผู้รักชาติ

โฮจิมินห์เริ่มเล็งเห็นถึงความเสียเปรียบ พยายามที่จะเอาชนะฝรั่งเศส ซึ่งกระทำได้ก็โดยการรวบรวมชาวเวียดนามที่มีหัวชาตินิยมไปเป็นพวก และเพื่อเป็นการปกปิดการหนุนหลังคอมมิวนิสต์ พร้อมกับแสดงให้ประชาชนเห็นว่าเป็น ขบวนการผู้รักชาติ โดยสั่งยุบพรรคคอมมิวนิสต์อย่างเปิดเผย และจัดตั้ง แนวแห่งชาติ ขึ้นแทน ส่วนพรรคคอมมิวนิสต์นั้นได้กลายเป็นองค์กรใต้ดิน ดำเนินการอย่างลับๆต่อมาเป็นเวลานาน

 ข้อตกลงระหว่างจีนคณะชาติกับฝรั่งเศส

ภาคเหนือของเวียดนาม เป็นที่มั่นของขบวนการเวียดมินห์แต่มีกองทัพจีนคณะชาติอยู่ ฝรั่งเศสอยากให้จีนคณะชาติถอนตัวไปเพื่อจะได้ปราบพวกเวียดมินห์ และยึดภาคเหนือคืนได้สะดวกขึ้น ดังนั้นในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1946 ฝรั่งเศสจึงได้ตกลงกับเจียงไคเซ็ค ยอมยกเลิกสิทธพิเศษในจีนเพื่อแลกกับการถอนทหารจีนออกไปจากภาคเหนือของเวียดนาม โฮจิมินห์พอเข้าใจถึงผลจากข้อตกลงนี้ ดังนั้นเพื่อไม่ให้ต้องปะทะกับฝรั่งเศสและจีน จึงต้องยอมให้ฝรั่งเศสยึดที่มั่นบางแห่งในภาคกลางและภาคเหนือ เพราะขณะนี้ โฮจิมินห์ ยังไม่พร้อมที่จะรบหรือต่อต้านกับชาติใดๆทั้งสิ้น

 พยายามแสวงหาสันติภาพ

ฝรั่งเศสและเวียดมินห์ต่างก็พยายามจะตกลงกันโดยสันติวิธีโดยโฮจิมินห์ยอมให้ฝรั่งเศสเคลื่อนกำลังเข้ายังฮานอยและไฮฟอง ส่วนฝรั่งเศสก็ตอบแทนด้วยการรับปากว่าจะให้เวียดนามเป็น ประเทศเสรี แต่ผลที่ได้รับจากการตกลงดังกล่าว ได้กลายเป็นสาเหตุแห่งความยุ่งยากร้ายแรงในเวลาต่อมา กล่าวคือ การประชุมเจรจากันระหว่าง 2 ประเทศนั้นไม่ลงรอยกันมากขึ้น เพราะการประชุมส่วนใหญ่เกี่ยวกับปัญหาทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไม่ได้กล่าวถึงเสรีภาพเลย ฝรั่งเศสมุ่งที่จะยึดครองด้วยกำลังทหาร ในช่วงเวลานี้ได้เกิดเหตุร้ายในไฮฟองหลายครั้ง ฝรั่งเศสระดมยิงหมู่บ้านไฮฟองเสียหายมากมาย
ผลจากการกระทำดังกล่าว ทำให้ฝ่ายเวียดมินห์เห็นว่า การตกลงโดยสันติวิธีกับฝรั่งเศสคงไม่เป็นผล ดังนั้นจึงได้สั่งเคลื่อนกำลังพลโจมตีกองทหารฝรั่งเศสทั่วประเทศทันทีในวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 1946

ปัญหาระหว่างฝรั่งเศส - เวียดมินห์

เอกราชของเวียดมินห์ที่ชาวเวียดนามแสวงหา กลายเป็นปัญหาสำคัญทางการเมืองที่สำคัญที่สุด และเป็นผลทำให้ชาวเวียดนามที่มีหัวปานกลางที่สังกัดกลุ่มชาตินิยม ซึ่งในระยะแรกคิดจะปรองดองกับฝรั่งเศส โดยจะยอมรับการปกครองของฝรั่งเศสแบบใดแบบหนึ่ง แล้วต้องสัญญาให้เอกราชที่สมบูรณ์ในภายหลัง แต่ฝรั่งเศสไม่สนใจ จึ่งทำให้พวกชาตินิยมกลุ่มนี้พยายามจัดตั้ง แนวสหภาพชาตินิยม เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1947 และได้กลายเป็นพลังการต่อต้านที่สำคัญในเวลาต่อมา
ด้วยเหตุดังกล่าว ฝรั่งเศสจึงได้กลายเป็นที่เกลียดชังของพวกชาตินิยมชาวเวียดนาม แม้แต่พวกไม่เคยต่อต้านฝรั่งเศสและนักการเมืองก็ต้องให้ความร่วมมือกับพวกปฏิวัติ หรือหนีไปนอกประเทศ ต่อมาในภายหลังฝรั่งเศสได้เสนอต่อเวียดนาม ให้มีเสรีภาพในวงกรอบแห่งสหภาพฝรั่งเศส แต่ก็ไม่ให้ความแน่ชัดในทางปฏิบัติ จึงเป็นเหตุให้พวกเวียดมินห์ที่ไม่พอใจฝรั่งเศส ทำการกวาดล้างชาวเวียดนามด้วยกันเองที่สนับสนุนข้อเสนอดังกล่าวของฝรั่งเศส
ปี ค.ศ. 1948 โงดินห์เตียมได้เสนอให้ฝรั่งเศสยกฐานะเวียดนามขึ้นเป็นประเทศในเครือจักรภพ แต่ฝรั่งเศสไม่ยอมรับ แต่อย่างไรก็ตาม ฝรั่งเศสก็พยายามที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดของตนด้วยการเชิญเบาไต๋ ขึ้นเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาล แต่ก็ไม่เกิดผลดีแก่ฝรั่งเศสแต่อย่างใด เพราะฝ่ายชาตินิยมหมดความไว้วางใจในฝรั่งเศสเสียแล้ว นอกจากนี้พวกคอมมิวนิสต์เวียดมินห์ ได้ควบคุมความเคลื่อนไหวของพวกชาตินิยมโดยสิ้นเชิง และเบาไต๋ก็ไม่ได้เป็นที่นิยมของประชาชน
การมองข้ามความสำคัญของพลังความรู้สึกทางชาตินิยมของชาวเวียดนาม และการไม่แสวงหาสันติภาพด้วยความบริสุทธิ์ใจ เป็นความผิดพลางขั้นแรกของฝรั่งเศส ตลอดจนไม่นึกถึงความสำคัญของความร่วมมือสนับสนุนจากประชาชน ซึ่งเท่ากับเป็นการช่วยให้ข้าศึกสามารถรวมตัวกันได้เป็นปึกแผ่นและรวดเร็วยิ่งขึ้น
สหรัฐอเมริกา ได้เริ่มเข้าช่วยฝรั่งเศสในการรบกับเวียดมินห์ เมื่อปี ค.ศ. 1950 เป็นต้นมา สหรัฐอเมริกาได้เข้าไปพัวพันกับเวียดนามมากยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายในด้านการทหาร เศรษฐกิจก็เพิ่มขึ้นด้วย