วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วันคริสต์มาส

 ประวัติเกี่ยวกับวันคริสต์มาส
โฮ่ะ โฮ่ะ โฮ่ะ เสียงหัวเราะที่อบอุ่นและใจดีของซานตาคลอสดังขึ้น ท่ามกลางความเงียบสงัด ในยามค่ำคืนคริสต์มาสอีฟ ขณะที่ปุยหิมะสีขาวโปรยปราย ลงมาจากท้องฟ้าห่มคลุมสรรพสิ่งจนขาวโพลนไปทั่ว ในคืนวันที่ 24 ธ.ค. เด็กๆ ทั่วโลกต่างพากันขึ้นเตียงนอนและเฝ้าคอยซานต้า คุณลุงแก้มยุ้ย ตัวอ้วน เคราขาว ในชุดสีแดงที่หอบถุงของขวัญใบยักษ์ นั่งรถเลื่อนที่มีกวางเรนเดียร์ลากข้ามขอบฟ้า นำของขวัญมาวางไว้ใต้ต้นคริสต์มาส หรือในถุงเท้าหน้าเตาผิงในห้องนั่งเล่น แม้เรื่องราวของซานต้าจะมีอยู่เพียงในจินตนาการ แต่ประวัติความเป็นมาและตำนานวันคริสต์มาส ที่เปี่ยมด้วยเวทมนต์อันน่าหลงใหลก็มีความจริงผสมผสานอยู่ด้วย
วันคริสต์มาส
คือ การฉลองวันประสูติของพระเยซู ผู้เป็นศาสดาสูงสุดของชาวคริสต์ทั่วโลก เป็นวันฉลองที่มีความสำคัญ และมีความหมายมากที่สุดวันหนึ่ง เพราะชาวคริสต์ถือว่า พระเยซู มิใช่เป็นแต่เพียงมนุษย์ธรรมดาๆ ที่มาเกิดเหมือนเด็กทั่วไป แต่พระองค์ เป็นบุตรของพระเจ้าผู้สูงสุด และมีพระธรรมชาติเป็นพระเจ้า และเป็นมนุษย์ในพระองค์เอง การบังเกิดของพระองค์ จึงเป็นเหตุการณ์พิเศษ ที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนด้วย.. ทำไมจึงวันฉลองคริสต์มาสวันที่ 25 ธันวาคม

ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ (ลก.2:1-3) บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าบังเกิดในสมัยที่ จักรพรรดิซีซ่าร์ ออกัสตัส ให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยมีคีรินิอัส เป็นเจ้าครองเมืองซีเรีย ซึ่งในพระคัมภีร์ ไม่ได้บอกว่า เป็นวันหรือเดือนอะไร แต่นักประวัติศาสตร์ให้เหตุผลว่า ทื่คริสตชนเลือกเอาวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันฉลองคริสต์มาส ตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 เป็นต้นมา เนื่องจาก ในปี ค.ศ. 274 จักรพรรดิเอาเรเลียน ได้กำหนดให้วันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพผู้ทรงพลัง ชาวโรมันฉลองวันนี้อย่างสง่า และถือเสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะพระจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ คริสตชนที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รู้สึกอึดอัดใจ ที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ ตามประเพณีของชาวโรมัน จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 330 จึงเริ่มมีการฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการ และอย่างเปิดเผย เนื่องจากก่อนนั้น มีการเบียดเบียนศาสนาอย่างรุนแรง (ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 64-313) ทำให้คริสตชน ไม่มีโอกาสฉลองอะไรอย่างเปิดเผย
ความสำคัญของ วันคริสต์มาส 
เราจะเห็นได้ว่า วันคริสต์มาสเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง เนื่องจากเป็นการระลึกถึงวันที่พระบุตรของพระเจ้ามาบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์เป็นพระเจ้า ที่จะอยู่กับเราตลอดไป ส่วนหนึ่งของมนุษย์เป็นพี่หัวปีที่จะนำมนุษย์ทั้งมวลไปสู่พระบิดาเจ้า พระองค์เป็นความสำเร็จบริบูรณ์ตามคำสัญญาของพระเจ้า ที่จะดูแลป้องกันรักษาเราผู้เป็นประชากรของพระองค์ เราเป็นเหมือนลูกแกะที่หายไป แต่พระเยซูเป็นชุมพาบาลใจดีที่ตามหาเราจนพบและจะไม่มีอะไร ที่จะแยกเรากับพระองค์ได้อีกเลย มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเป็นชนชาติไหนจะรวยหรือจน คนศรัทธาหรือคนบาป ล้วนมีความสำคัญต่อหน้าพระเจ้าเสมอ เพราะตั้งแต่การเสด็จมาบังเกิดของพระเยซูนั้น พระเป็นเจ้าพระบิดาทรงเห็นพระฉายาลักษณ์ของพระบุตรในมนุษย์ทุกคน เราก็เช่นเดียวกัน เราต้องรักซึ่งกันและกันเหมือนอย่างที่เรารักพระเจ้า นั่นหมายถึงเราต้องเคารพศักดิ์ศรีของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นคนยากจน คนต่างชาติ หรือคนที่วางตัวเป็นศัตรูกับเรา

"เขาจะรักพระเจ้าที่เขามองไม่เห็นได้อย่างไร ถ้าเขาไม่รักพี่น้องที่มองเห็นได้ นี่แหละเป็นพระดำรัสที่พระเยซูเจ้าประทานแก่เรา คนที่รักพระเจ้าต้องรักพี่น้องของตนด้วย"
ประเพณีของการฉลองคริสต์มาสที่มีความเป็นมาดังกล่าวนี้ ควรเป็นสิ่งที่ชักจูงเราให้เปรี่ยมไปด้วยความรักที่พร้อมที่จะรับใช้ ผู้อื่นอย่างเต็มที่.
ต้นคริสต์มาส
ในสมัยโบราณ "ต้นคริสต์มาส" หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์แสดงละครที่หน้าวัด ถึงความหมายของคริสต์มาส และเอาต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ตรงกลาง เพื่อประดับฉาก แสดงถึงบาปกำเนิดของอาดัมและเอวา ต้นไม้ที่ใช้เป็นต้นสน เนื่องจากเป็นต้นไม้ ที่หาง่ายที่สุดในประเทศเหล่านั้น การแสดงละครคริสต์มาสแบบนี้ มีมาเป็นเวลาช้านานหลายร้อยปี จนถึงศตวรรษที่ 15 พระสังฆราชหลายแห่งได้ห้ามแสดง เนื่องจากการแสดงนั้น กลายเป็นการเล่นเหมือนลิเก ล้อชาวบ้าน ผู้ปกครองบ้านเมือง และศาสนา ซึ่งไม่ตรงกับบรรยากาศของการฉลอง ชาวบ้านรู้สึกเสียดาย ที่ไม่มีโอกาสดูละครสนุกๆ แบบนั้นอีก จึงไปสนุกกันที่บ้านของตน โดยเอาต้นไม้มาไว้ที่บ้าน หลังจากนั้น ก็เริ่มมีการแขวนลูกแอปเปิ้ล ขนมและของขวัญอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้

นอกจากนั้น ชาวเยอรมันยังมีประเพณีอีกอย่างหนึ่งคือ มีการจุดเทียนหลายเล่มเป็นรูปปิรามิด ไว้ตลอดคืนคริสต์มาส โดยมีดาวของดาวิดที่ยอดปิรามิด ซึ่งประเพณีที่จะแขวนของขวัญและขนม ก็ได้รวมกับประเพณีของชาวเยอรมันนี้ มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 โดยเอาเทียนมาไว้ที่ต้นไม้ เป็นรูปทรงปิรามิด นี่เป็นที่มาของประเพณีปัจจุบัน ที่มีการแขวนของขวัญ และไฟกระพริบไว้ที่ต้นคริสต์มาส และมีดาวของดาวิดไว้ที่สุดยอด ประเพณีนี้ เป็นที่นิยมชมชอบของชาวตะวันตกอยู่มาก
แม้ว่าประเพณีการตั้งต้นคริสต์มาส มีความเป็นมาดังกล่าว ชาวคริสต์ในสมัยนี้ ก็ยังนิยมทำกันอยู่ เพราะเห็นว่า มีความหมายถึงพระเยซูเจ้า ผู้เปรียบเสมือนต้นไม้แห่งชีวิต (ปฐก.2:9) ที่เขียวสดเสมอในทุกฤดูกาล ซึ่งหมายถึง นิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า และนอกจากนั้นยังหมายถึง ความสว่างของพระองค์ เสมือนแสงเทียนที่ส่องในความมืด ทั้งยังหมายถึง ความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูเจ้าประทานให้ เพราะต้นไม้นั้น เป็นจุดรวมของครอบครัวในเทศกาลนั้น
ซานตาคลอส 
เป็นจุดเด่นหรือสัญลักษณ์ ที่เด็กและผู้คนนิยมมากที่สุด ในเทศกาลคริสต์มาส แต่แท้ที่จริงแล้ว ซานตาคลอส แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้เลย ชื่อซานตาคลอส มาจากชื่อนักบุญนิโคลาส ซึ่งเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือ เป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของเด็กๆ นักบุญองค์นี้ เป็นสังฆราชของไมรา (อยู่ในประเทศตุรกี ปัจจุบัน) มีชีวิตอยู่ราวศตวรรษที่ 4 เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่ง อพยพไปอยู่ในสหรัฐ ก็ยังรักษาประเพณีนี้ไว้ คือ ฉลองนักบุญนิโคลาส ในวันที่ 6 ธันวาคม ซึ่งหมายถึง นักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้ เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ ที่อพยพมา ก็รู้สึกอยากมีส่วนร่วมในประเพณีแบบนี้บ้าง เพื่อรับของขวัญ ประเพณีนี้ จึงเริ่มเป็นที่รู้จัก และแพร่หลายไปในอเมริกาโดยมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างคือ ชื่อนักบุญนิโคลาส ก็เปลี่ยนเป็นซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราช ซึ่งเป็นนักบุญองค์นั้น ก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วน ใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นพาหนะ มีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟของบ้าน เพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้น อันที่จริง ซานตาคลอสเป็นรูปแบบที่น่ารัก เหมาะสำหรับเป็นนิยายให้เด็กๆ เชื่อ แต่อาจจะทำให้คนทั่วไปหันมาสนใจ ให้ความสำคัญในตัวนิยายนี้ แทนการบังเกิดของพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของเทศกาลคริสต์มาสนี้

วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ชาขาว

ชาขาว ( 白茶) เป็นชา (tea) ชนิดหนึ่ง มีชื่อเดิมตามภาษาท้องถิ่นจีนว่า " หยินเซน " ซึ่งแปลว่า " เข็มเงิน "ผลิตจากตูมและยอดอ่อนของต้นชา ซึ่งเลือกเด็ดด้วยมือ แหล่งเพาะปลูกชาขาวที่มีชื่อเสียงอยู่ที่มณฑลฝูเจี้ยน ทางตอนใต้ของประเทศจีน ชาขาวเป็นหนึ่งในชาที่ดีที่สุด เนื่องจากเป็นชาที่มีสมบัติดี หายาก และมีราคาแพง จึงถือเป็นชาชั้นสูง ชาวจีนดื่มชาขาวมายาวนานกว่า 1,500 ปี ในสมัยราชวงศ์ซ่งของจีน มีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระและคุณค่าทางโภชนาการ มีกลิ่นและรสชาติของชาขาวที่ยังคงความสดชื่นและนุ่มนวล ชาขาวจึงเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ (functional food) มีสารที่มีสรรพคุณเป็นโภชนเภสัช (nutraceutical) ได้แก่ สารพอลิฟีนอล (polyphenol) โดยเฉพาะแคทีชิน (catechin) ในปริมาณสูง


การแปรรูป
กรรมวิธีผลิตชาขาวจะคล้ายกับชาเขียว คือไม่ได้ผ่านกระบวนการหมักเลย แต่แตกต่างกันตรงที่การเก็บใบชาเพื่อนำมาทำเป็นชาขาวจะเลือกเก็บเฉพาะ ยอดอ่อนชา ซึ่งปกคลุมไปด้วยขนเล็กๆ ที่มีความสมบูรณ์เต็มที่ โดยจะต้องเก็บยอดอ่อนด้วยมือภายในระยะเวลา ไม่เกิน 48 ชั่วโมง ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ จากนั้นนำยอดชาที่เก็บได้มาผ่านกระบวนการทำแห้ง (dehydration) ซึ่งมักใช้การตากแดด (sun drying) ด้วยวิธีธรรมชาติโดยอาศัย ลม แสงแดด หรือการอบด้วยเครื่องอบ (drier)
การชงชาขาว
การชงชาขาวจะใช้เวลามากกว่าการชงชาทั่วไป เพราะต้องทิ้งไว้ประมาณ 5-7 นาที จึงสามารถรินดื่มได้
สรรพคุณของชาขาว
ชาขาวเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ (functional food) มีสารที่มีสรรพคุณเป็นโภชนเภสัช (nutraceutical) ได้แก่ สารพอลิฟีนอล (polyphenol) โดยเฉพาะ แคทีชิน(catechin) ในปริมาณสูงกว่าชาชนิดอื่น โดยสารในกลุ่มนี้มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ( antioxidant ) ที่ช่วยป้องกันโรคและความบกพร่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอนุมูลอิสระ ( free radical ) เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคอัลไซเมอร์ก ารดื่มชาขาวช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ช่วยสร้างความรู้สึกผ่อนคลาย ลดอาการตึงเครียดจากการทำงานหนัก อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินต่างๆ ในปริมาณสูง

วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

กระทงสาย จังหวัดตาก

กระทงสาย ประเพณี ลอยกระทง ที่จังหวัดตาก

 
 
 ประเพณีสาย ไหลประทีปพันดวง ถือเป็น ประเพณีของชาวเมืองตากที่นำวิถีชีวิตของบรรพชนมาผสมผสานเข้ากับความเชื่อ และหลักศาสนา ซึ่งเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษได้ปลูกฝังและถ่ายทอดมาสู่จิตสำนึกของลูกหลานไทยมา แต่บรรพกาล ก่อให้เกิดประเพณีที่ร้อยรักรวมใจของคนเมืองตากให้เป็นหนึ่งเดียว
ในอดีต ชาวเมืองตากจะมีถิ่นอาศัยอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำปิง วิถีชีวิตของชาวตากจึงมีความผูกพันกับสายน้ำที่เปรียบเสมือนสายโลหิตที่หล่อ เลี้ยงชาวเมืองตากมานานหลายชั่วอายุคน จากความกตัญญูรู้คุณต่อสายน้ำ ก่อให้เกิดประเพณีที่แสดงออกถึงความกตัญญู ในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสองชาวเมืองตากได้จัดให้มีการขึ้น ประเพณีสาย ไหลประทีปพันดวง เกิดจากการร่วมมือร่วมใจของชาวบ้านในหมู่บ้านในการดำเนินกิจกรรม อันเป็นความเชื่อในการจัดทำกระทงนำไปลอย เพื่อบูชารอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า อีกทั้งยังเป็นการลอยทุกข์โศกโรคภัยให้พ้นไปจากตนเอง และขอขมาที่ได้อาศัยแม่น้ำและทิ้งของเสีย ถ่ายเทสิ่งปฏิกูลลงแม่น้ำปิง โดยใช้โอกาสนี้ในการพบปะพูดคุย จัดกิจกรรมรื่นเริงภายในหมู่บ้านอีกด้วย
เมื่อถึงวันเพ็ญเดือนสิบสอง ชาวเมืองตากทุกครัวเรือนจะนำด้ายดิบ (ด้ายที่ปั่นมาจากฝ้าย) มาฟั้น ด้วยแต่ละเส้น จะประกอบด้วยด้ายเส้นเล็กๆ จำนวน 9 เส้น จากนั้นจะนำด้านที่ฟั้นเสร็จแล้วมาวัดตามความยาวของแขนที่กางออกทั้งสองข้าง ของสมาชิกภายในบ้านทุกคน เรียกว่า วัดวา แล้วเด็ดออก ด้ายแต่ละเส้นจึงมีความยาวไม่เท่ากันแล้วแต่ว่าผู้วัดจะมีความยาวของแขน เท่าไร จากนั้น นำด้ายที่วัดวาแล้วมาวัดที่ศรีษะของผู้เป็นเจ้าของด้ายเส้นนั้น เมื่อวัดรอบศรีษะได้เท่าใดก็ให้เด็ดออก จากนั้นนำด้ายที่วัดรอบศีรษะที่เด็ดออกมามัดต่อเข้ากับด้ายเส้นเดิม การกระทำเช่นนี้เป็นความเชื่อของผู้เท่าผู้แก่ ถือว่าเป็นการต่ออายุให้กับตนเอง ด้ายฟั่นที่เหลือจากการวัดวาก็จะนำมาทำฟั่นให้เป็นรูปตีนกา มีจำนวนเท่ากับสมาชิกในครอบครัว หรือมากกว่านั้นก็ได้ตามแต่ศรัทธา ต่อจากนั้นจึงนำด้ายทุกเส้นและตีนกา มาแช่ในน้ำมะพร้าว การทำตีนกาเป็นความเชื่อที่สืบทอดกันมาว่า แสงไฟจากตีนกาจะเป็นการบูชาแม่กาเผือกของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ตามตำนวนเล่าว่า มีเณรน้อยผู้ชอบเที่ยวซุกซนองค์หนึ่ง มีนิสัยชอบล่าสัตว์ ยิงนก ตกปลาอยู่เป็นประจำ วันหนึ่งได้ยิงไก่, วัว, เต่า และพญานาคตาย แต่ก่อนสัตว์เหล่านั้นจะตายเณรน้อยได้เกิดสำนึกในบาปที่ตนได้ล่าสัตว์และ ทรมานสัตว์เหล่านั้น จึงได้อธิษฐานร่วมกับไก่, วัว, เต่า และพญานาคว่า ถ้าเกิดในชาติหน้าขอให้ได้เกิดเป็นพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน
 

 ณ ริมฝั่งแม่น้ำ มีต้นไทรใหญ่อยู่ต้นหนึ่งเป็นที่อยู่ของกาเผือกสองผัวเมีย ซึ่งได้ออกไข่มา 5 ฟอง อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่กาเผือกสองผัวเมียออกไปหาอาหารได้เกิดท้องฟ้ามือครึ้ม มีลมพายุพัดอย่างแรง ทำให้ไข่กาเผือกทั้ง 5 ฟอง ลอยตกลงไปในแม่น้ำ แต่ไข่นั้นหาจมน้ำไม่ กลับลอยไปติดที่ชายหาดแห่งหนึ่งและไข่ทั้ง 5 ฟอง ก็แตกออกเป็นทารก 5 คน ทารกทั้ง 5 คนนั้น คือ เณรน้อย, ไก่, วัว, เต่า และพญานาค ที่กลับมาเกิดนั่นเอง ทารกทั้ง 5 คน ได้พากันอธิษฐานร่วมกันว่า ถ้าตนทั้ง 5 ได้เป็นพี่น้องร่วมท้องเดียวกันก็ขอได้มีโอกาสพบพ่อแม่ด้วยเถิด ฝ่ายกาเผือกสองผัวเมียเมื่อตายลงก็ไปเกิดเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ ได้เข้าฝันทารกทั้ง 5 ว่า “หากเจ้าทั้ง 5 คน อยากเห็นหน้าและระลึกถึงพ่อแม่ ก็จงฟั่นด้ายเป็นรูปตีนกา แล้วลอยแม่น้ำคงคาไป” ทารกทั้ง 5 จึงทำตาม และต่อมาทั้ง 5 คน ได้บำเพ็ญตนจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์เป็นพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์
 

 การสายของชาวเมืองตากทุกวันเพ็ญเดือนสิบสอง จึงมีการฟั้นด้ายเป็นรูปตีนกา เพื่อขอบูชาแม่กาเผือกของพระเจ้า 5 พระองค์ ซึ่งเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาถึงทุกวันนี้ ในเวลาพลบค่ำ ชาวบ้านแต่ละครัวเรือก็จะนำด้ายวัดวา รวมทั้งตีนกาที่แช่น้ำมันมะพร้าว พร้อมด้วยกระทงที่จะนำไปลอยตามจำนวนสมาชิกในครัวเรือนและดอกไม้ธูปเทียน ไปที่วัดภายในหมู่บ้าน เพื่อนำด้ายที่วัดวาไปพาดบนคานไม้ แล้วจุดไฟที่ด้ายของแต่ละคน ส่วนตีนกาที่เตรียมมาด้วยก็จะนำไปวางพบถ้วยดินเผา ซึ่งเรียกว่า “ถ้วยประทีป” นำน้ำมันมะพร้าวใส่ลงไป การใช้น้ำมันมะพร้าวเป็นเชื้อเพลิงนั้น นับเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่นำสิ่งที่ได้จากธรรมชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ซึ่งน้ำมันมะพร้าวจะมีกลิ่นหอม มีควันน้อยเมื่อจุดไฟ การจุดไฟที่ด้ายและตีนกาถือเป็นความเชื่อของชาวบ้านที่ว่า แสงไฟจะสร้างความสว่างไสวให้กับชีวิตของตนเอง นอกจากฟั้นด้ายและตีนกาแล้ว แต่ละครัวเรือนจะเตรียมทำกระทงเพื่อใช้ลอยขอขมาแม่พระคงคา ด้วยการนำกาบกล้วยหรือกาบพลับพลึงมาเย็บเป็นกระทง ใช้ธูปพันด้วยด้ายชุบน้ำมันมะพร้าวเป็นเชื้อเพลิง และมีการจัดแพ “ผ้าป่าน้ำ” ที่ทำด้วยต้นกล้วยตกแต่งด้วยดอกไม้ ธูปเทียน และธงหลากสี ซึ่งตัดตกแต่งเป็นลวดลายอย่างงดงามจากกระดาษแก้ว ใส่หมากพลู บุหรี่ ขนม ผลไม้ และเศษสตางค์ เพื่อเป็นพุทธบูชา แม่พระคงคาในสายน้ำปิง เมื่อเสร็จพิธีกรรมทางศาสนาแล้ว ชาวบ้านก็จะเริ่มร้องรำทำเพลงเป็นที่สนุกสนาน และไปร่วมกันที่ริมฝั่งแม่น้ำ หลังจากนั้นจะมีผู้เฒ่าผู้แก่เป็นผู้นำในการกล่าวคำขอขมา และนำแพผ้าป่าน้ำ ลงลอย ต่อจากนั้นชาวบ้านก็จะนำกระทงที่เตรียมมาลงลอย ต่างคนก็ต่างปล่อยกระทงของตนเอง จากกระทงหนึ่งใบเป็นสอง สาม สี่ จำนวนกระทงจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สร้างสรรค์ความงดงามในลำน้ำผสมผสานกับเสียงร้องรำทำเพลง เสียงดนตรีของกลุ่มชาวบ้าน สร้างความคึกครื้นและความบันเทิงที่ไม่เหมือนที่แห่งใดในประเทศไทย นับเป็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ก่อเกิดความรัก ความสามัคคี และความศรัทธา
ปัจจุบัน การสายจะใช้กระทงกะลามะพร้าว แทนกระทงที่ทำจากกาบกล้วยและกาบพลับพลึง เนื่องจากการดำเนินชีวิตของชาวเมืองตากที่มีการทำไส้เมี่ยงเป็นอุตสาหกรรม ภายในครัวเรือน และเมี่ยงเป็นอาหารว่างที่คนเมืองตากนิยมรับประทานกัน นอกจากนั้น ยังเป็นสินค้าพื้นเมืองที่เป็นที่นิยมในภาคเหนืออีกด้วย เนื่องจากไส้เมี่ยงมีมะพร้าวเป็นส่วนประกอบสำคัญ เมื่อขูดเอาเนื้อมะพร้าวออกหมดแล้ว กะลามะพร้าวจึงเป็นวัสดุเหลือใช้ และสามารถนำมาเป็นวัสดุในการทำกระทง เพื่อนำมาลอยในคืนเพ็ญเดือนสิบสอง โดยมีการนำแพผ้าป่าน้ำมาลอยเป็นกระทงนำ และจะมีกระทงปิดท้าย เพื่อเป็นการบ่งบอกถึงการสิ้นสุดการสายแต่ละสาย ในการสายจะมีการร้องรำทำเพลงประกอบด้วย
สำหรับ “ประทีปพันดวง” หรือที่เรียกว่ากระทงสายก็คือ กระทงจำนวน 1,000 กระทงนั่นเอง เหตุที่ต้องใช้กระทงจำนวนมาก ก็เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและสวยงาม
ประเพณีสาย เดิมจัดเฉพาะในหมู่บ้านหรือชุมชนต่างๆ เท่านั้น ต่อมาเทศบาลเมืองตากได้มีการฟื้นฟูประเพณีดังกล่าวขึ้นมา เพื่อให้ประเพณีสาย เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดตาก และได้เชิญชวนชาวบ้านจากชุมนุมต่างๆ จัดส่งกระทงสายเข้าประกวดตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2532 เป็นต้นมา ต่อมาในปี พุทธศักราช 2540 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช โปรดเกล้าฯ พระราชทานถ้วยรางวัลสำหรับทีมชนะเลิศในการประกวดกระทงสาย และในปี พุทธศักราช 2541 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระประทีป สำหรับอัญเชิญลงลอยเป็นกระทงนำ ในวันเปิดงานสาย ไหลประทีป 1,000 ดวง เพื่อเป็นสิริมงคลแก่งาน และในปี พุทธศักราช 2544 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระประทีปร่วมลอยด้วย
 



ประเพณียี่เป็ง เชียงใหม่ 2556

ประเพณียี่เป็ง


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ทุกวันเพ็ญเดือนยี่ (เดือนสอง) ของล้านนา ภาพโคมนับร้อย ๆ ดวงค่อย ๆ ลอยละลิ่วส่องแสงสว่างเจิดจ้าอยู่บนท้องฟ้าเหนือจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งนั่นเป็นสัญลักษณ์ของ "ประเพณียี่เป็ง" หรือประเพณีเดือนยี่ หรือประเพณีลอยกระทงแบบล้านนา ซึ่งประเพณีนี้งดงามจนใครที่อยากไปสัมผัสกับความตระการตาเหล่านี้สักครั้ง 
          ดังนั้น จังหวัดเชียงใหม่ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จังหวัดเชียงใหม่จึงขอเชิญนักท่องเที่ยวสัมผัสเทศกาลงาน "ประเพณียี่เป็ง เชียงใหม่ 2556" ที่จะมีขึ้นในวันที่ 16-18 พฤศจิกายน 2556 ณ ถนนช้างคลาน ย่านไนท์บาซาร์ อำเภอเมือง ซึ่งภายในงานจะมีการแสดงแสง สี เสียง การปล่อยโคมลอย การแสดงศิลปวัฒนธรรมล้านนา และขบวนแห่กระทงขบวนโคมยี่เป็ง (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ chiangmai.go.th)
          นอกจากนี้ ยังมี "งานบุญกฐินล้านนา" ซึ่งจัดขึ้นที่ ธุดงคสถานล้านนา อำเภอสันทราย ในวันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2556 เวลา 13.00–20.30 น. โดยจะมีกิจกรรมประกอบด้วย การปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ และปล่อยโคมถวายเป็นพุทธบูชา ฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย และ "Yee Peng International"ซึ่งเป็นกิจกรรมปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ และปล่อยโคมถวายเป็นพุทธบูชา ณ ธุดงคสถานล้านนา ในวันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2556 (ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจัดงาน 100 USD สามารถจองตั๋วได้ที่www.yeepenglanna.com) ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ธุดงคสถานล้านนา โทรศัพท์ 0 5335 3174

ประเพณียี่เป็ง
ภาพจาก Shutterstock.com/Tappasan Phurisamrit
ประวัติประเพณียี่เป็ง

          ในภาษาคำเมืองของทางเหนือ "ยี่" แปลว่า สอง และคำว่า "เป็ง" หมายถึง เพ็ญ หรือพระจันทร์เต็มดวง ดังนั้น จึงหมายถึง ประเพณีพระจันทร์เต็มดวงในเดือนสอง โดยในพงศาวดารโยนกและจามเทวี มีบันทึกว่าครั้งหนึ่งได้เกิดอหิวาตกโรคขึ้นในแคว้นหริภุญไชย (หรือหริภุญชัย) ทำให้ชาวเมืองต้องอพยพไปอยู่เมืองหงสาวดี นานถึง 6 ปี จึงจะเดินทางกลับมายังบ้านเมืองเดิมได้ เมื่อเวลาเวียนมาถึงวันที่จากบ้านจากเมืองไป จึงได้มีการทำกระถางใส่เครื่องสักการบูชา ธูปเทียนลอย ลอยตามน้ำเพื่อให้ไปถึงญาติพี่น้องที่ล่วงลับไป เรียกว่า การลอยโขมด หรือลอยไฟ

          ประเพณียี่เป็ง จะเริ่มตั้งแต่วันขึ้น 13 ค่ำ ซึ่งถือว่าเป็น "วันดา" หรือวันจ่ายของเตรียมไปทำบุญเลี้ยงพระที่วัด ครั้นถึงวันขึ้น 14 ค่ำ พ่ออุ้ยแม่อุ้ยและผู้มีศรัทธาก็จะพากันไปถือศีลฟังธรรม และทำบุญเลี้ยงพระที่วัด มีการทำกระทงขนาดใหญ่ตั้งไว้ที่ลานวัด ในกระทงนั้นจะใส่ของกินของใช้ ใครจะเอาของมาร่วมสมทบด้วยก็ได้ เพื่อเป็นทานแก่คนยากจน และในวันขึ้น 15 ค่ำ จึงนำกระทงใหญ่ที่วัดและกระทงเล็ก ๆ ของส่วนตัวไปลอยในลำน้ำ

ประเพณียี่เป็ง

          ในงานบุญยี่เป็งนอกจากจะมีการปฏิบัติธรรม ฟังเทศน์มหาชาติตามวัดวาอารามต่าง ๆ แล้ว ยังมีการประดับตกแต่งวัด บ้านเรือน และถนนหนทางด้วยต้นกล้วย ต้นอ้อย ทางมะพร้าว ดอกไม้ ตุง ช่อประทีป และชักโคมยี่เป็งแบบต่าง ๆ ขึ้นเป็นพุทธบูชา พอตกกลางคืนก็จะมีมหรสพและการละเล่นมากมาย มีการแห่โคมทองพร้อมกับมีการจุดถ้วยประทีป (การจุดผางปะติ๊ด) เพื่อบูชาพระรัตนตรัย ซึ่งการจุดโคมไฟประดับตกแต่งตามวัดวาอาราม และการจุดโคมลอยปล่อยขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณีบนสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ตามความเชื่อการปล่อยว่าวไฟหรือโคมลอยนี้ เพื่อให้นำเอาเคราะห์ร้าย ภัยพิบัติต่าง ๆ ออกไปจากหมู่บ้าน ดังนั้น ว่าวหรือโคมลอยที่ปล่อยขึ้นไปถ้าไปตกในบ้านใคร บ้านนั้นต้องจะทำพิธีสะเดาะเคราะห์เพื่อล้างเสนียดจัญไรทั้งปวงออกไป นอกจากนี้ ยังถือกันว่าเป็นการทำเพื่อบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และเพื่อความสนุกสนาน สร้างความสามัคคีกันในหมู่บ้านอีกด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เด็กชาย 2 ขวบ กลืนฝาแฝด เติบโตอยู่ในท้อง

เด็กชาย 2 ขวบ กลืนฝาแฝด เติบโตอยู่ในท้อง
สำนักข่าวประเทศจีนรายงานว่า เด็กชายวัย 2 ขวบต้องเข้ารับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน หลังตรวจพบ แฝดปรสิต หรือ  เติบโตอยู่ในช่องท้องของเด็กตั้งแต่แรกเกิด ส่งผลให้ปัจจุบันท้องของเด็กชายมีขนาดใหญ่ คล้ายกับคนกำลังตั้งครรภ์
ตามรายงานระบุว่า เด็กชายวัย 2 ขวบเศษ ชาวเมืองฮัวซี มณฑลกุ้ยโจว ประเทศจีน ถูกนำตัวเข้ารับการผ่าตัด หลังพ่อแม่พามารักษาที่โรงพยาบาล เนื่องจากลูกชายมีอาการบวมที่ช่องท้องและหายใจลำบาก เมื่อแพทย์เอ็กซเรย์ตรวจสอบ จึงพบแฝดปรสิตเติบโตอยู่บริเวณช่องท้องของเด็ก ใกล้กับกระเพาะอาหาร จำเป็นจะต้องผ่าตัดนำออกทันที
แพทย์ใช้เวลาผ่าตัดนานกว่าหลายชั่วโมง ก่อนจะสามารถนำเอาแฝดปรสิตที่แฝงตัวอยู่ในช่องท้องเด็กชายออกมาได้ ตรวจสอบพบเป็น แฝดปรสิต ขนาดความยาว 20 เซนติเมตร มีการเจริญเติบโตเป็นรูปร่างบางส่วน มีโครงกระดูก แขนและขา รวมทั้งนิ้วมือ-นิ้วเท้าครบทั้งหมด แต่ส่วนศีรษะ สมอง หัวใจ และอวัยวะต่างๆ หยุดพัฒนาการไปแล้ว
สำหรับ แฝดปรสิต หรือ แฝดกาฝาก มีโอกาสเกิดได้ไม่บ่อยนัก หรือพบเพียง 1 ใน 500,000 คนเท่านั้น แฝดปรสิต เกิดจากภาวะการเจริญที่ผิดปกติในครรภ์มารดา เมื่อฝาแฝดอีกคนหยุดพัฒนาการ คู่แฝดอีกคนที่แข็งแรงกว่าจะดูดกลืนเข้าไปในร่างกาย และเข้าไปเติบโตอยู่ในช่องท้องของคู่แฝด หลังจากที่ทำการคลอดออกมาแล้ว

วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556

วันสันติภาพสากล

21 กัยายน วันสันติภาพสากล (The International Day of Peace)


วันสันติภาพสากล (The International Day of Peace)ตรงกับวันที่ 21 กันยายนของทุกปี เพื่ออุทิศให้กับสันติภาพ
 
     วันที่ 21 กันยายน ของทุกปีเป็นวันสันติภาพสากล วันนี้จัดขึ้นเพื่อประกาศการเริ่มต้นของวันสันติภาพสากล ระฆังสันติภาพ ณ สำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติ จะดังขึ้น ซึ่งระฆังดังกล่าวถูกหลอมขึ้นจากเหรียญที่เด็กทั่วโลกช่วยกันบริจาค ระฆังใบนี้ถือเป็นอนุสรณ์เตือนให้ระลึกถึงความสูญเสียจากสงคราม โดยมีการสลักประโยคหนึ่งประโยคไว้ข้างระฆังว่า Long live absolute world peace. ขอความยั่งยืนจงมีแด่สันติภาพอันแท้จริง  
     ปี 1981 คณะกรรมการสหประชาชาติประกาศมติที่รับรองโดยคอสตารีกา ให้วันอังคารที่สามของเดือนกันยายน (ซึ่งเป็นวันเปิดประชุมสามัญ) เป็นวันสันติภาพสากล เพื่อให้ความสำคัญกับสันติภาพ 20 ปีให้หลัง ที่ประชุมใหญ่มีมติใหม่ที่ได้รับการรับรองจากสหราชอาณาจักร และคอสตารีกา ให้กำหนดวันที่แน่นอนและประกาศเป็นวันยุติการสู้รบของโลก (a global ceasefire day) คือ วันที่ 21 กันยายนเป็น องค์การสหประชาชาติ ได้ประกาศให้วันนี้เป็น "วันสันติภาพสากล" (The International Day of Peace) เพื่อขอให้ประชาชนทุกประเทศหยุดยิง หยุดใช้ความรุนแรงกันทั่วโลก และหยุดการทำสงครามตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ยังได้เชิญประเทศสมาชิก หน่วยงานสหประชาชาติ ชุมชน และองค์กรอิสระ ให้เฉลิมฉลองและร่วมมือกันสร้างสันติภาพทั่วโลก    
     องค์การสหประชาชาตินกอจากได้กำหนดให้วันที่ 21 กันยายนของทุกปี เป็น "วันสันติภาพโลก" (International Day of Peace) แล้ว ยังกำหนดให้ปี ค.ศ.2001-2010 เป็น "ทศวรรษสากลเพื่อวัฒนธรรมสันติภาพและความไม่รุนแรงเพื่อเด็กของโลก" (The International Decade 2001-2010 for a Culture of Peace and Non-violence for the Children of the World) โดยมุ่งเน้นที่
          1. การให้ความเคารพต่อชีวิตทั้งมวล เคารพชีวิตและศักดิ์ศรีของแต่ละบุคคล โดยไม่แบ่งชนชั้นหรือลำเอียง
          2. การไม่ใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะต่อเด็กและเยาวชน
          3. การแบ่งปันกับผู้อื่นอย่างมีน้ำใจ เพื่อขจัดการแบ่งแยก ความไม่ยุติธรรม และการกดขี่ทางการเมืองและเศรษฐกิจ
          4. การรับฟังเพื่อให้เกิดความเข้าใจต่อกัน เคารพเสรีภาพในการแสดงออก และยอมรับความแตกต่างทางวัฒนธรรม
          5. การสงวนรักษาผืนโลก ฝึกดำเนินชีวิตอย่างรับผิดชอบและเคารพต่อทุกชีวิตในโลก เพื่อรักษาสมดุลของธรรมชาติบนผืนโลก
          6. การสร้างความสมานฉันท์ เคารพต่อหลักการประชาธิปไตย และให้โอกาสทุกฝ่ายมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะสตรี
     การส่งเสริมให้ผู้คนในสังคมทุกกลุ่มอายุ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของสันติภาพภายใน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของวัฒนธรรมสันติภาพ โดยเริ่มต้นจากประสบการณ์ของความสงบเงียบภายในจิตใจของแต่ละบุคคล จะนำไปสู่การตระหนักรู้จักตนเองและแหล่งพลังชีวิต สามารถใช้ปัญญาเป็นเครื่องชี้นำทางในการขจัดทุกข์และสร้างสันติสุขให้แก่ตนเอง และแบ่งปันประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้อื่น
     วิธีการหนึ่งในการกระตุ้นให้ผู้คนทั่วไปเห็นความสำคัญของการหยุดอยู่ในความสงบ คือเน้นความสำคัญของการใช้เวลา "เพียงหนึ่งนาที" ด้วยบทเพลง "เพียงหนึ่งนาที" ซึ่งสร้างสรรค์โดยทีมของบริษัทแกรมมี่ฯ เพื่อเป็นสื่อหนึ่งของโครงการ "คุณธรรมหนุนนำสันติสุข" ของมูลนิธิบราห์มากุมารีราชาโยคะ มหาวิทยาลัยทางจิตของโลก เป็น traffic control ควบคุมการจราจรของจิต และหันเหความคิดไปสู่ทิศทางที่เป็นบวก เป็นสื่อเตือนตนให้มีเวลาหยุดสงบนิ่ง เพียงชั่วขณะในแต่ละวัน ได้เรียนรู้ความสงบเงียบภายในของตน และเสริมพลังชีวิต เพื่อเป็นพื้นฐานต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตในด้านต่างๆ
     ประเทศไทย ที่ อ.แม่สอด จังหวัดตาก มีกิจกรรมเดินขบวนเพื่อสันติภาพ (Peacemarch) เพื่อสวดมนต์ขอพรให้เกิดสันติภาพในพม่า ในไทย และโลก รวมทั้งเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์การชุมนุมอย่างสันติของพระภิกษุเมื่อเดือนกันยายนปี 2007 ในพม่า การเดินขบวนครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากทั่วโลกเนื่องจากจะมีการจัดกิจกรรมดังกล่าวในประเทศต่างๆ ในเวลาเดียวกัน
     รูปแบบของการเดินขบวนใช้ลูกโป่งรูปนกพิราบสีขาวขนาดใหญ่เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนสันติภาพ พระภิกษุจะใช้กระดิ่งเป็นตัวบอกสัญญาณควบคุมการเดินขบวน พร้อมกล่าวและชูป้ายที่เขียน(ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย) ว่า''May all beings not fight each other'' (ขอให้สรรพชีวิตทั้งหลายจงหยุดต่อสู้ซึ่งกันและกัน) และ''May all beings be happy and peaceful'' (ขอให้สรรพชีวิตทั้งหลายจงมีแต่สันติสุขและสันติภาพ)
     นอกจากนี้ ยังจะใช้ป้ายที่เขียนว่า ''สันติภาพ''
  • ''Peace for the World and Burma'' (สันติภาพแด่โลกและพม่า)
  • ''Peace in Burma Means No Civil War'' (สันติภาพในพม่าคือการปราศจากซึ่งสงครามกลางเมือง)
  • 'No Nuclear Enrichment in Burma'' (ห้ามการเสริมสมรรถนะนิวเคลียร์ในพม่า)
งานวันสันติภาพสากลในติมอร์-เลสเต 

     ในปี 2008 สำนักงานสหประชาชาติ (UNMIT) ในติมอร์ฯ ได้ตั้งคำขวัญสำหรับวันสันติภาพสากลในติมอร์-เลสเตว่า “คุณทำอะไรเพื่อสันติภาพหรือเปล่า” (What are you doing for peace?) ในปีนี้รัฐบาลติมอร์ฯร่วมกับสหประชาชาติได้จัดงานฉลองวันสันติภาพสากลที่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล การฉลองวันสันติภาพเริ่มขึ้นด้วยพิธีมิซซาเพื่อสันติภาพและความยุติธรรมที่วิหารอิเกรจา และต่อมาในเวลา 16.30-17.30 น.มีการชุมนุมเพื่อสะท้อนความต้องการสันติภาพที่ลานประชาธิปไตย จากลานประชาธิปไตยมีการ “เดินเพื่อสันติภาพ” ไปยังทำเนียบรัฐบาลโดยออกเดินทางตั้งแต่เวลา17.30 -18.00 น.และที่ทำเนียบรัฐบาลนี้ นายซานานา กุสเมา นายกรัฐมนตรีได้กล่าวสุนทรพจน์แสดงความยินดีที่การเดินเพื่อสันติภาพในปีนี้มีเยาวชนจากสำนักวิชาป้องกันตัวต่างๆได้มาเข้าร่วมด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงและทัศนคติสร้างสรรค์ของสำนักวิชาป้องกันตัวต่างๆ และภายหลังจากสุนทรพจน์ดังกล่าวบิฉอบได้กล่าวให้พรและปล่อยนกพิราบ รวมทั้งมีการแจกดอกไม้แก่ผู้มาร่วมพิธี นายอาตุล คาห์เรผู้แทนพิเศษเลขาธิการสหประชาชาติได้กล่าวสุนทรพจน์เป็นรายต่อมาโดยเน้นย้ำว่าการที่จะมีสันติภาพได้นั้นจะต้องมีการเคารพสิทธิมนุษยชนด้วย เพราะไม่มีที่แห่งใดซึ่งไม่ให้การพิทักษ์ปกป้องสิทธิมนุษยชนจะสามารถมีสันติภาพเกิดขึ้นได้ และหลังจากนั้นเป็นการกล่าวปราศรัยของนายเฟอร์นันโด ลาซามา เด อะเราโจ ประธานรัฐสภาแห่งชาติ หลังจากสิ้นสุดงานพิธีได้มีการแสดงบันเทิงและดนตรีของคณะนายทหารและตำรวจและดนตรีของเยาวชนสองวงคือวงลิซาน ติมอร์ และวงโทนี่ เปเรร่าจนกระทั่ง 23.05 น. จึงเลิกงาน งานวันสันติภาพสากลเป็นงานที่องค์การสหประชาชาติให้ความสำคัญและจัดขึ้นในติมอร์-เลสเตเป็นประจำทุกปี เพื่อปลุกสำนึกในการรักสันติภาพและความยุติธรรมในบ้านเมือง

วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2556

ว๊าว!! ขูดขีดผิวหนังตัวเองให้เป็นงานศิลปะ



สาวอเมริกันวัย 33 ปี ป่วยเป็นโรคผิวหนังบอบพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส ด้วยการขูดขีดผิวหนังตัวเองให้เป็นงานศิลปะแชร์ลงในโซเชียลเน็ตเวิร์ค...

ศิลปะบนเรือนร่างมีหลากหลายวิธีที่จะสร้างสรรค์ให้สวยงาม แต่มีหนึ่งงานศิลป์ที่ไม่ต้องไปเจาะ สัก หรือวาดให้ดูสวยงาม หากแต่ใช้เรือนร่างของเรานั้นพิมพ์ลายก็ดูสวยงามขึ้นมาแล้ว แอเรียนา เพจ รัสเซลล์ สาวอเมริกันวัย 33 ปี ป่วยเป็นโรคผิวหนังบอบบาง เป็นรอยง่ายมากเพียงแค่ขูดขีด และเธอได้เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส ด้วยการขูดขีดผิวหนังตัวเองให้เป็นลวดลายต่างๆ กลายเป็นงานศิลปะ แชร์ลงในโซเชียลเน็ตเวิร์ค และได้รับความสนใจอย่างมาก

แอเรียนาป่วยด้วยโรคผิวหนังบอบบาง (Dermatographia) โดนอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็เป็นรอยแดงและบวมอย่างง่ายดาย เธอจึงเปลี่ยนจุดอ่อนของผิวหนังให้กลายเป็นงานศิลปะที่ไม่มีใครเหมือน ด้วยการใช้เข็มถักนิตติ้งขีดเขียนลวดลายและตัวหนังสือต่างๆ ลงบนผิวหนังตัวเอง แล้วถ่ายรูปศิลปะผิวหนังเก็บไว้เรื่อยๆ จนสุดท้ายเธอก็สามารถรวบรวมทำเป็นนิทรรศการศิลปะจัดแสดงตามแกลลอรี่ต่างๆ ทั่วสหรัฐฯ

แอเรียนา เผยว่า เธอไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดแม้ผิวหนังจะดูบวม และแดงขึ้นมาอย่างที่เห็น และรอยดังกล่าวจะค่อยๆ หายไปภายใน 30 นาทีหลังถูกขีดเขียน และหากจะพูดกันตามตรง ภาวะผิวหนังบอบบางของเธอนี้สามารถทำให้บรรเทาลงได้ แต่เธอไม่เลือกที่จะเข้ารับการรักษา เพราะชอบขีดเขียนผิวหนังตัวเองไปซะแล้ว นอกจากนี้ เธอยังโพสต์ผลงานศิลปะบนผิวหนังของเธอลงในโซเชียลเน็ตเวิร์ก และเชิญชวนให้ผู้ที่เป็นโรคเดียวกันกับเธอได้แชร์ภาพศิลปะบนผิวหนังของตัวเองลงให้ชมด้วย.

วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ชีวิตที่อุทิศแด่พระเจ้า (servan of god)

ดอกหญ้าน้อยๆแห่งภูเขาคาร์แมล "นักบุญเทเรซา มาร์กาเร็ต"




นักบุญเทเรซา มาร์กาเร็ต แห่ง พระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์
St.Teresa Margaret of the Sacred Heart
ฉลองวันที่ 7 กันยายน


ยินตอนรับทุกท่านเข้าสู่ถิ่นกำเนิดของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาหรือยุคเรอเนซองซ์ นามแคว้นทัสกานีหรือตอสกานาในภาษาอิตาลี แคว้นขนาดใหญ่ในภาคกลางของประเทศอิตาลี ที่มีความสำคัญในทางประวัติศาสตร์ ศิลปกรรม นอกจากนี้ แคว้นทัสกานีก็ยังขึ้นชื่อว่ามีทิวทัศน์งดงามมาก และมีไวน์ที่รสชาติดีเยี่ยมภาษาอิตาลีที่พูดกันในแคว้นทัสกานีเป็นที่ยอมรับว่าเป็นการพูดแบบชาวอิตาลีโดยแท้จริงและยอมรับให้เป็นสำเนียงราชการ นอกจากนั้นแคว้นนี้ยังเป็นที่ตั้งของเมืองมรดกโลกอีกถึง 6 เมือง


อาเรซโซ คือหนึ่งในจังหวัดของทัสกานี ณ ที่นี่ในวันที่ 15 กรกฎาคม ค.ศ.1747 ในครอบครัวขุนนางขนาดใหญ่ของท่านเคานต์ อิกญาซิโอ เรดิ กับ คามิลลา บิลเลทิ  เด็กทารกเพศหญิงได้ถือกำเนิดขึ้นมาในฐานะบุตรคนที่สองจากสิบสามคนของครอบครัวและได้รับศีลล้างบาปในวันฉลองแม่พระแห่งภูเขาคาร์แมลซึ่งคือเช้าวันถัดมาด้วยนาม อันนา มารีอา

ที่อายุประมาณ 5 ปี บิดาของท่านเป็นพยานว่าท่านได้ถวายดวงใจของท่านทั้งหมดแด่พระเจ้าและท่านก็ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมดของท่านเพื่อที่จะรู้และรักพระองค์  ซึ่งต่อมาท่านได้สารภาพ ณ ที่สารภาพบาปว่า จากวัยทารก  ดิฉันไม่เคยโหยหาและปรารถนาสิ่งอื่นใดนอกจากการที่จะกลายเป็นนักบุญ  หนูน้อยอันนาเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กสาวที่มดวงตาสีฟ้าใสกับผมสีทอง



ในห้องนอนของท่านจะมีแท่นบูชาที่ท่านจะใช้เวลาในช่วงเช้าดื่มด่ำอยู่กับคำอธิษฐานเป็นเวลาหลายชั่วโมงอยู่ที่แท่นนั้น พี่ชายของท่านบันทึกว่าท่านดูราวกับส่วนเล็กน้อยของแม่พระ บ้านของครอบครัวท่านมีสวนอันงดงาม ก็จะพบท่านอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของสวนและกำลังจ้องมองไปยังสวรรค์และคิด ที่ใกล้ๆกับบ้านของท่านนั้นเป็นโบสถ์ที่ได้รับการรังสรรค์ตกแต่งด้วยภาพเฟสโกที่บอกเล่าเรื่องราวของนักบุญฟรานซิส แห่ง อัสซีซี ผู้ที่ท่านเลือกเป็นองค์อุปถัมภ์และแรงบัลดาลใจจากความรักและความยากจนของเขา



ด้วยวัยเพียง 7 ปี ท่านก็ได้เข้าใจถึงวิธีการค้นหาพระเจ้าในทุกสิ่งทั้งในดวงดาวและดอกไม้ และแม้ว่ามันจะเป็นบ้านที่สงบสุขและร่ำรวย เด็กๆก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ไม่ทำงาน ดังนั้นท่านจึงได้เรียนรู้วิธีการตัดเย็บเสื้อผ้า การถักไหมพรม ซึ่งบางครั้งก็มีคนพบท่านถักไหมพรมขณะที่กำลังดื่มด่ำกับการสวดภาวนา ต่อมาเมื่อท่านอายุได้ 9 ปี ในขณะที่ครอบครัวส่วนมากไม่นิยมให้เด็กหญิงได้รับการศึกษาในโรงเรียนเพราะถือกันว่าเป็นเรื่องเสียเงินเปล่า แต่สำหรับครอบครัวเรดิ ไม่คิดเช่นนั้น แต่กลับกันพวกเขากลับสนันสนุนการให้การศึกษาแก่ลูกๆทุกคนของเขา รวมทั้งท่านด้วยบิดามารดาของท่านก็ได้ส่งท่านไปรับการศึกษาในโรงเรียนประจำนาม เซนต์อโพโลเนีย” ของคณะเบเนดิกติน ในเมืองฟลอเรนซ์

ที่บ้านมันเป็นเรื่องง่ายที่ท่านจะหลบไปภาวนาเงียบๆอย่างไม่มีใครเห็นอย่างที่ท่านเป็นประจำ แต่ไม่สำหรับที่โรงเรียน ท่านไม่สามารถทำเช่นนั้นได้โดยไม่เป็นที่สนใจ แต่กระนั้นท่านก็ไม่ละทิ้งชีวิตภายในของท่านไป แม้นภายนอกของท่านจะเป็นเช่นเด็กหญิงทั่วไป ท่านเริ่มพัฒนาแผนความสมดุลภายในของท่านด้วยอายุเพียง 10 ปี โดยท่านเล็งเห็นถึงความจำเป็นที่ภายนอกท่านจะปฏิบัติตัวเช่นคนอื่น ในขณะที่มุ่งมั่นอย่างเงียบๆในการก้าวไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์ วิธีการของท่านคือการซ่อนตัวเองจากการเป็นที่สนใจ ท่านจะปรากฏตัวออกมาเหมือนเด็กคนอื่นๆหรือดีกว่าด้วยการเป็นเด็กที่ไม่มีใครสังเกตเห็น  ในขณะที่ชีวิตภายในนั้นมีแต่จะเจริญเติบโต


ซึ่งเหตุผลที่ท่านไม่อยากให้ใครเห็นชีวิตภายในของท่านมีสองประการ
ประการแรก : คุณธรรมของการทำดี สามารถลดลงเมื่อสัมผัสกับสายตาของผู้อื่น โดยการสรรเสริญและยินยอม ทำให้เรามีความพึงพอใจหรืออย่างน้อยประจบความรักตนเองและความภูมิใจของเรามากเกินไปและนั่นจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องมีเนื้อหาพระเจ้าเพียงเท่านั้น
ประการที่สอง คือเพื่อเลียนแบบชีวิตที่ซ่อนเร้นของครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นเช่นครอบครัวทั่วไปในสายตาชาวนาซาเร็ท มิได้แตกต่างจากคนอื่นนี้แหละคือเป้าหมายของท่าน การที่จะไม่แตกต่างจากคนอื่น

แต่ทุกแผนงานจะต้องได้รับความช่วยเหลือ ท่านก็เช่นกันท่านก็ต้องพบปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการรับศีลมหาสนิทครั้งแรกของท่าน ซึ่งถูกจัดขึ้นในวันฉลองแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ เพราะท่านเริ่มเก็บความศักดิ์สิทธิ์ของท่านไม่อยู่แล้ว บางคนก็เริ่มสังเกตเห็นแล้วเช่นกัน ท่านพยายามที่จะเป็นเหมือนคนอื่นในทางกาย ดังนั้นท่านจึงพยายามไม่สารภาพบาปกับสงฆ์แต่เลือกบิดาของท่านเป็นพ่อวิญญาณรักษ์แทน โดยมีข้อแม้ว่าทุกครั้งที่ท่านส่งจดหมายไปหลังอ่านเสร็จต้องเผาทิ้งซึ่งบิดาของท่านก็ทำตามนานนับ 5 ปีจนที่สุดแล้ว ภายใต้การดูแลของคุณพ่อดอน เปโตร เปลเลกรินิ การติดต่อของสองพ่อลูกจึงจบลง


ในทันทีคุณพ่อดอน เปโตร เปลเลกรินิ มั่นใจทันทีว่าท่านมีกระแสเรียกและความรักของพระเจ้า ดังนั้นเขาจึงพยายามจะช่วยท่านใน การโผบินในมรรคาของพระเจ้า เขาให้หนังสือที่ดีแก่ท่านและคอยช่วยท่านให้ก้าวหน้าในชีวิตฝ่ายจิต มันทำให้ท่านประสพความสำเร็จ ตอนชีวิตจิตท่านเติบโตแบบก้าวกระโดด หลังจากนั้นท่านก็รับให้สารภาพบ่อยขึ้น ซึ่งทำให้ท่านรับศีลบ่อยเท่าๆกับภคินี ตามความเห็นของเพื่อนร่วมชั้น ครู ต่างคิดว่าท่านเป็นสาวทั่วไปผู้แสนดีไม่มากก็น้อย

นอกจากนั้นท่านยังเก็บงำความรักต่อแม่พระพระมารดาของพระเจ้าไว้ตั้งแต่เด็ก มีครั้งหนึ่งในโรงเรียนขณะที่ท่านกำลังถืออ่างที่เต็มไปด้วยถ่านที่ร้อนลงบันได ท่านเกิดลื่นตกจากบันได ฉับพลันท่านร้องไห้ออกมาดังๆต่อหน้ารูปภาพแม่พระ ที่แขวนอยู่ใกล้เชิงบันได อัศจรรย์ท่านลงมาอยู่ด้านล่างโดยถ่านยังคงที่ไม่เป็นอะไรเลย แม้กระเด็นมาถูกเสื้อผ้าของท่านก็หามีไม่ เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความรัก ความเอ็นดู ที่แม่พระมีต่อท่านอย่างแท้จริง

ขณะนี้ท่านอายุ 16 ปีแล้ว การศึกษาในโรงของท่านใกล้จบลง ท่านก็พบถึงความยากของการตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของท่าน ท่านวาดหวังถึงชีวิตทางศาสนาและรักภคินีที่นี้ แต่มันเหมือนมีอะไรขาดหายไป จนกระทั้งในเดือน กันยายน ค.ศ.1763 ท่านและภคินีถูกเชื้อเชิญให้ไปร่วมงานอำลาเพื่อนในวัยเด็กของท่านนาม เชชีเลีย อัลเบรโกททิ ที่มาเยี่ยมอารามก่อนที่เขาจะไปเข้าอารามคาร์เมไลท์นักบุญเทเรซา ในฟลอเรนซ์ ในห้องพูดคุย (speakroom) เชชีเลียบอกแก่ท่านว่าเธออยากคุยกับท่านมานานแล้วแต่ไม่มีโอกาส อย่างไรก็ตามก่อนจากกันเธอได้จับมือของท่านพร้อมมองหน้าท่านอย่างพินิจ ก่อนพูดว่าไม่มีอะไรและจากไป


 หลังจากนั้นท่านเดินกลับห้องด้วยความรู้สึกแปลกๆอยู่ภายใน ทันทีท่านก็ได้ยินเสียงหนึ่งตรัสกับท่านว่าฉันเทเรซา และฉันต้องการให้เธอเป็นหนึ่งในลูกสาวของฉัน มันทำให้ท่านสับสนและหวาดกลัว ดังนั้นท่านจึงเลือกที่จะเดินไปที่โบสถ์และคุกเข่าต่อหน้าศีล และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่เสียงเดิมกล่าวกับท่านว่าฉันเทเรซาแก่งพระเยซูเจ้า และฉันพูดกับเธอว่าเร็วๆนี้เธอจะพบตัวเองอยู่ในอารามของฉัน ในตอนนี้ในใจท่านพบสันติแล้ว ท่านรู้แล้วว่าคาร์แมลคือคำตอบที่ท่านต้องการ

แต่กระนั้นท่านก็ยังเก็บงำเรื่องนี้ไว้เป็นความลับเป็นเวลานาน จนกระทั้งบิดาของท่านมารับตัวท่านกลับบ้านและเก็บเรื่องนี้ไว้อีกหลายเดือน ระหว่างนั้นท่านใช้เวลาไปกับการสำรวจตัวเองว่าเหมาะกับคาร์แมลไหมและพยายามใช้เวลาส่วนมากในห้องของท่าน เพื่อดื่มด่ำการภาวนาและอ่านหนังสือเสริมศรัทธา และต่อมาท่านก็ได้รับอนุญาตให้ฝึกเข้าเงียบ ท่านพยายามที่จะทำบางส่วนของงานคนรับใช้และท่านปล่อยให้คนอื่นเลือกเสื้อผ้าให้โดยไม่ต้องสนความคิดของท่านและท่านก็พยายามที่จะหลีกเลี่ยงที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าระหว่างวัน ท่านมักจะมอบอาหารที่ท่านเหลือแก่คนยากคนจน



และหลังจากหลายเดือนแห่งการสำรวจ ท่านจึงตัดสินใจไปปรึกษาคุณพ่อเยซูอิตท่านหนึ่งชื่อ เจอโรม มารีอา จอนิ ซึ่งเขาแนะนำให้ท่านนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับมารดาของท่าน ดังนั้นในวันเกิดอายุ 17 ปีของท่าน ท่านจึงได้ออกความประสงค์ที่จะเข้าอารามของท่าน โดยความไม่รู้มารดาของท่านได้นำเรื่องนี้ไปบอกแก่บิดาท่าน ซึ่งคำตอบที่ได้มาคือไม่ไปก่อน แต่หลังจากการตรวจสอบกระแสเรียกแล้วโดยบิดาท่าน เขาก็อนุญาตให้ท่านเขียนจดหมายสมัครไปยังคุณแม่อธิการของอารามนักบุญเทเรซา ใน ฟลอเลนซ์

จนแล้วรอดญาติๆก็ต่างโน้มน้าวใจท่าน บิดาของท่านก็ด้วย แต่กระนั้นหลังจดหมายตอบรับถูกส่งกลับมา บิดาของท่านก็ได้ตัดสินใจที่จะพาท่านไปส่งด้วยตัวเอง โดยมารดาของท่านได้แนะนำให้ท่านไปแสวงบุญที่ภูเขาอัลเวอร์เนีย(Alvernia) อันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่นักบุญฟรานซิสรับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ แต่ต่อมาในช่วงครึ่งหลังของเดือนสิงหาคมในปี ค.ศ.1764 ขณะที่ท่านกำลังจะจากไป มารดาของท่านกำลังล้มป่วยลง ดังนั้นท่านจึงได้คุกเข่าลงที่ข้างเตียงมารดาของท่านและได้ขอพรและล่ำลา แต่มารดาของท่านในตอนนั้นไม่สามารถพูดได้แม้นเพียงคำเดียว คงมีแต่เพียงน้ำตาที่ตอบกลับมา มารดาของยืนยันว่าท่านนิ่งเป็นหินเป็นเวลาเกือบชั่วโมง ก่อนที่จะกลับมาสดใสเช่นเดิม และเมื่อมาถึงฟลอเลนซ์ ท่านได้แวะไปเยี่ยมอารามอันเป็นที่เรียนเก่าของท่านอารามนักบุญอโพโลเนีย เพื่อกล่าวคำอำลา ก่อนเดินเข้าประตูอารามคาร์แมลของฟลอเลนซ์ซึ่งตอนนี้คือบ้านของท่านแล้วซึ่งวันนั้นตรงกับวันที่ 1 กันยายน ค.ศ.1764



บ้านของทูตสวรรค์ คือคำที่ท่านใช้เรียกอาราม และ ทูตสวรรค์ คือคำที่ท่านเรียกบรรดาภคินี ในจดหมายขออนุญาตเข้าอาราม ท่านได้ระบุเป้าหมายของท่านคือ แข่งขันกับพวกเขาในความรักอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า  ท่านเชื่อเสมอว่าท่านมิควรอยู่ท่ามกลางพวกเขา ท่านสารภาพจากใจว่า ลูกเชื่อ คุณพ่อของลูก ภคินีเหล่านี้เป็นนักบุญและทูตสวรรค์ที่แท้จริง ลูกตัวสั่นเมื่อลูกคิดถึงความแตกต่าง ลูกมาจากพวกเขา ไกลแค่ไหนจากตัวอย่างของพวกเขา เชื่อลูก ลูกมิคู่ควรจริงๆที่จะวางตัวลูกไว้ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาและทำหน้าที่พื้นสำหรับพวกเขา อย่างต่อเนื่องทำให้พวกเขารำคาญ ทั้งหมดลูกดีสำหรับการที่จะช่วยให้พวกเขาในการฝึกคุณธรรมของความอดทนอย่างต่อเนื่อง ลูกไม่ทราบวิธีการที่พวกเขาเริ่มที่จะทนลูก

ปกติระยะเวลาการเป็นโปสตุลันต์จะกินเวลาทั้งสามเดือน แต่สำหรับท่านต้องเพิ่มไปอีกหนึ่งเดือนเพราะที่เหนือหัวเข่าข้างขวาเกิดบวมเป่งเป็นฝีขึ้นมา ซึ่งในระยะแรกๆท่านก็ยังคงเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับและยังคงคุกเข่ากับพื้นเชนเดิม จนกระทั้งท่านป่วยด้วยไข้หวัดทำให้ความลับนี้ถูกเปิดเผย ดังนั้นท่านจึงต้องเข้ารับการผ่าตัดเอาฝีนั้นออกด้วยการขูดการติดเชื้อออกจากกระดูก ซึ่งทำได้โดยไม่ต้องดมยาสลบ ซึ่งภคินีหลายคนต่างทึ่งในความกล้าหาญของท่าน แต่กระนั้นท่านก็ยังตำหนิตนเองที่เผลอทำเสียงคางเล็กน้อยในขณะผ่าตัด



และด้วยความกลัวว่าท่านอาจจะจะถูกยกเว้นจากการเป็นนวกะเพราะความมิคู่ควรของท่าน ท่านถึงกลับคุกเข่าลงต่อหน้าคุณแม่อธิการ เพื่อขออภัยสำหรับความล้มเหลวของท่าน พร้อมกับสัญญาว่าจะทำให้ดีกว่านี้ แต่เป็นความจริงที่ว่าท่านไม่ต้องกังวล เพราะทุกคนต่างคิดว่าท่านคือของขวัญและลูกสาวที่แท้จริงของนักบุญเทเรซา ดังนั้นทุกคนจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ท่านสามารถเข้าเป็นนวกะได้

เป็นธรรมเนียมที่ผู้หัดจะต้องรอการลงคะแนนเสียง ช่วงเวลานั้นเองท่านได้เยี่ยมครอบครัวของท่าน ท่านจึงได้ใช้เวลาอันมีค่ากับบิดาของท่าน และเมื่อถึงกำหนดบิดาของท่านก็ได้พาท่านไปส่งยังอารามเพื่อเตรียมเข้าพิธีรับเสื้อในเช้าวันถัดมา ที่นี่คนรอบข้างต่างตกใจที่พบท่านกับในสภาพซีดเซียว และเย็นวันนั้นท่านก็ได้ปรับทุกข์อยู่กับตัวเอง อีกทั้งร้องไห้จนถึงจุดที่คุณแม่อันนา มารีอา ตกใจและนึกสงสัยว่าท่านยังคงความสงบได้ไงตลอดทั้งวัน


12 มีนาคม ค.ศ.1765 วันนี้ฝูงชนมากมายที่รู้จักท่านต่างแห่แหนมาที่อาราม เพื่อร่วมพิธีรับเสื้อของท่าน วันนี้ท่านกลับมาเป็นเช่นเดิมคือสงบและสดใส เมื่อถึงเวลาท่านจึงเข้าพิธีเพื่อรับชุดศักดิ์สิทธิ์ของคณะพร้อมๆกับนามใหม่ว่า เทเรซา มาร์กาเร็ต มารีอานิ แห่ง พระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์  ในวันนั้นดวงใจของท่านเปี่ยมล้นไปด้วยสันตสุขที่มนุษย์มิอาจสรรสร้างขึ้นได้

ในฐานะนวกะใหม่ไฟแรง หน้าที่แรกของท่านคือการทำความสะอาดทั่วไปกับงานอีกเล็กๆน้อยๆ แต่กระนั้นท่านก็เริ่มงานที่จะใช้เวลาและพลังมากในการทำ กว่าหนึ่งปีท่านได้รับหน้าที่พยาบาลผู้ป่วย ท่านคอยให้ความช่วยเหลือนวกะใหม่ด้วยการช่วยเตรียมที่พักในแต่ละคืน จากนั้นท่านก็จะใช้เวลาในการดูแลนวกะที่ไม่สบาย ส่วนในเวลาว่างของท่านก็จะหมดไปกับการช่วยเหลือสถานพยาบาลเล็กน้อยสำหรับภคินีที่ป่วยหนัก และในบางครั้งท่านก็ย้ายเข้าไปนอนในห้องของภคินีที่ป่วยเพื่อจะสามารถดูแลเขาในช่วงเวลากลางคืน นอกเหนือจากช่วงเวลาภาวนาแล้วท่านจะใช้เวลาทั้งหมดไปกลับการบริการและทุกงานที่ท่านทำจะได้ผลที่เกิดคาดหมาย

แน่นอนว่านวะต้องมีพี่เลี้ยง ท่านก็เช่นกันท่านมีพี่เลี้ยงคือภคินีเทเรซา มารีอา กัวดากนิ เธอเป็นคนที่รู้วิธีที่จะหาข้อผิดพลาดและข้อบกพร่องในทุกสิ่งที่ท่านทำและจะตำหนิท่านทันทีที่ท่านทำผิด และทันทีท่านก็จะก้มกราบตามประเพณี โดยที่มิขัดข้องหรืองขุ่นหมอง มีพยานหลายคนเห็นว่าท่านไม่เคยปริปากบ่นเลยแม้แต่นิด ซึ่งท่านปฏิบัติเช่นนึ้จนวันตายของท่าน

หนึ่งปีหลังจากรับเสื้อคณะท่านก็ได้รับอนุญาตให้เขาพิธีปฏิญาณตน อาการเช่นเดิมเหมือนคราวรับเสื้อคณะก็กลับมาราวีท่านอีกครั้ง ทั้งภายในและภายนอก ภายนอกฝีที่เคยเป็นกลับมาอีกครั้งหนึ่งแต่ในที่สุดก็หายไป ภายในของท่านก็เต็มไปด้วยความกลัวว่าพวกเขาจะไม่ให้ท่านปฏิญาณตนเพราะความผิดพลาดจำนวนมากและความไม่ครบครันของท่าน ท่านแทบไม่เชื่อเมื่อพวกเขาอนุญาตให้ท่านเข้าพิธีได้ นอกจากนั้นท่านยังคอยสำรวจตัวของท่านเองว่ามีสิ่งใดเป็นอุปสรรค์ต่อการชิดสนิทกับพระ เมื่อพบท่านก็จะขจัดมาทิ้งไป


ดังนั้นต่อมาในวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ.1766 ท่านจึงได้เข้าพิธีปฏิญาณตน และด้วยความรู้สึกว่าไม่คู่ควร ท่าน ท่านจึงขอเป็นที่รูจักว่า ภคินีผู้เรียบง่าย” ซึ่งท่านถือความเรียบง่ายและอ่อนน้อมถ่อมตนตลอดชีวิต จนเรียกได้ว่า ไม่มีงานใดที่ต่ำต้อยเกินท่าน

หลังจากนั้นท่านก็ได้ประจำอยู่ที่ห้องซาคริสตานในฐานะผู้ช่วย แต่กระนั้นท่านก็ไม่เคยผู้ป่วย ท่านยังคงแวะไปดูแลพวกเขาเสมอ เพราะท่านรักงานนี้ด้วยเหตุผลที่ว่า พระเจ้าเป็นความรัก ท่านกล่าวว่าความรักของเพื่อนบ้านประกอบด้วยในการให้บริการ” มีพระหรรษทานมากมายในจากความเห็นอกเห็นใจของท่านไม่ว่าจะเป็นพระพรในการคุยกับภคินีที่หูหนวกที่ไม่มีใครสามารถติต่อได้นอกจากท่าน พระพรการรักษาที่ดูไม่ใช่อัศจรรย์ แต่ดูผิดปกติ และนอกจากนั้นท่านยังพระพรการหยั่งรู้ว่าผู้ป่วยต้องการเมื่อไรและในทันทีไม่ว่าท่านจะอยู่ส่วนไหนของอารามท่านก็จะรีบไปหาผู้ป่วยคนนั้น

และยังมีอัศจรรย์อีกเรื่องหนึ่งโดยเรื่องมีอยู่ว่าวันหนึ่งขณะที่ท่านอยู่ในห้องอาหาร ท่านได้พบภคินีรูปหนึ่งกำลังทุกข์ทรมานจากอาการปวดฟัน ด้วยความเห็นอกเห็นใจของท่าน ท่านจึงลุกไปหาเขาและจูบตรงที่เขาเจ็บ ก่อนจะกลับมานึ่งที่เดิมพร้อม เป็นอัศจรรย์ภคินีรูปนั้นหายจากอาการปวดเป็นปลิดทิ้ง ในวันอาทิตย์หนึ่ง ขณะที่นักร้องประสานเสียงร้องว่า พระเจ้าคือความรัก  พระเจ้าก็ได้ทรงประทานความเข้าใจในวลีนี้แก่ท่าน ซึ่งมันทำให้ท่านปิติยินดีเป็นยิ่งนัก


ท่ามกลางการเสียสละอย่างยาวนาน 4 มีนาคม ค.ศ.1770 ท่านเข้าสารภาพบาปเพื่อเตรียมรับศีลในเช้ารุ่งขึ้น ท่านก็รู้สึกถึงลางว่าท่านจะจากไปในไม่ช้านี้ จนกระทั้งวันที่ 6 มีนาคม ปีเดียวกันท่านอยู่เฝ้าป่วยจนไม่สามารถไปทานอาหารเย็นพร้อมกับภคินีท่านอื่น ดังนั้นท่านจึงไปรับอาหารเป็นคนสุดท้ายและขณะที่ท่านกำลังจะเดินกลับห้องนอนของท่าน พลันท่านก็ต้องประสพความเจ็บปวดจนท่านทำได้แต่เพียงลากตัวไป จนกระทั้งท่านทรุดตัวลงและได้ร้องขอความช่วยเหลือ

ท่านจึงถูกนำตัวไปยังห้องพัก ที่ตลอดคืนท่านต้องทนกับอาการเจ็บท้องอย่างรุนแรงจนไม่ได้นอนและถึงแม้ว่ามันจะเจ็บปวดซักเพียงใดท่านก็พยายามไม่ร้องออกมาเพราะท่านกลัวว่ามันจะรบกวนเพื่อนภคินีห้องข้างๆของท่าน ท่านปฏิเสธที่จะมีคนมาเฝ้าท่านในตอนกลางคืน ในเช้าวันถัดแพทย์ถูกตามตัวมาอีกครั้งและพบว่าอวัยวะภายในของท่านเป็นอัมพาตไปแล้ว เขาแนะนำให้ท่านควรรับศีลมหาสนิทครั้งสุดท้าย แต่สถานพยาบาลเห็นว่าไม่จำเป็นจึงไม่มีการตามพระสงฆ์มาและไม่เต็มใจเพราะท่านอาเจียนออกมาตลอดเวลา

ท่านมิได้ร้องขอศีลมหาสนิทแต่ประการใดเพราะท่านมีลางสังหรแล้วตั้งแต่การรับศีลมหาสนิทครั้งสุดท้ายของท่าน ในตอนนี้มือข้างหนึ่งของท่านกำกางเขน ที่ในเวลาต่อมา ท่านจะยกมันขึ้นมาประทับจูบตามบาดแผลทั้ง 5 และขานนาม พระเยซูเจ้า แม่พระ ต่อด้วยอธิษฐานต่อไปในความเงียบ ที่สุดแล้วเวลา 15.00น. ของวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ.1770 ท่านก็ได้ไปรับบำเหน็จของท่านในสวรรค์ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มไร้อาการตรีทูต โดยไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ท่านจะจากไปท่านก็ได้สูญเสียการเคลื่อนไหวและการพูดไป ดังสงฆ์ที่ถูกตามมาจึงทำได้เพียวทำสำคัญมหากางเขนบนหน้าผากท่านเท่านั้น


ไม่นานหลังจากนั้นร่างของท่านก็เริ่มบวมอืดและแข็งกระด้าง ใบหน้าและคอมีสีฟ้า แขนขามีสีดำ ถึงขั้นที่ว่าบรรดาภคินีคิดไม่ตกเรื่องงานศพของท่านเพราะตอนนี้สภาพท่านไม่ใช่ภคินีน้อยที่พวกเขารู้จักและอยู่ด้วยมาห้าปี ดังนั้นจึงมีการคิดว่าจะฝังท่านในทันที แต่อัศจรรย์ในขณะที่กำลังมีการย้ายร่างของท่าน พลันร่างของท่านก็มีการเปลี่ยนแปลงไปจากที่คล้ำก็เริ่มกลับมาเป็นสีซีดอ่อน ดังนั้นจึงมีการเลื่อนเวลาฝังท่านไป ซึ่งก็ต้องมีอันตกตะรึงเมื่อบัดนี้ร่างของท่านมีอันกลับไปเป็นเช่นเดิม เป็นภคินีน้อยที่น่ารักที่ไม่มีงานใดต่ำต้อยเกินเธอ

ด้วยประการฉะนี้จึงมีการเลื่อนกางฝังศพท่านไปอีกเป็นในเย็นวันที่ 99 มีนาคมแทน ซึ่งในตอนนี้สภาพร่างของท่านเหมือนคนที่กำลังหลับไปเท่านั้น และหลังจากการตรวจสอบแพทย์ก็ต่างยืนยันว่าท่านเหมือนคนที่กำลังหลับไป ไม่มีย่อยสลายใดเลยในร่างกาย

หลังจากนั้นที่หลุมศพของท่านก็มีกลิ่นหอมลึกลับลอยฟุ้งออกมา ในขณะที่ดอกไม้หน้าหลุมของท่านนั้นเหี่ยวเฉาไปแล้ว กลิ่นหอมนั้นก็ยังอยู่ ห่างออกไปที่บ้านของท่านมารดาของท่านก็ได้รายงานถึงกลิ่นหอมลึกลับในบ้านที่ท่านเคยอยู่  สองสัปดาห์ต่อมามีการเปิดหลุมศพของท่านอีกครั้งเพื่อดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียดโดยแพทย์ ผู้แทนวาติกันและพระสังฆราชประจำฟลอเลนซ์ ซึ่งผลที่ออกมาปรากฏว่าร่างของท่านยังคงเป็นเหมือนคนที่นอนหลับไปเฉยๆ


และในวันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ.1805 โอกาสสมโภชพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า ก็ได้มีการย้ายร่างของท่านขึ้นมาไว้ในโลงแก้วและตั้งไว้ในอารามคาร์แมลในฟลอเลนซ์ และในวันที่มิถุนายน ค.ศ.1929 โดย สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 11ท่านก็ได้รับการสถาปนาเป็นบุญราศี และต่อมาในวันที่ 19 มีนาคม ค.ศ.1934 ท่านก็ได้รับการสถาปนาเป็นนักบุญที่ใช้นามเทเรซาเป็นคนที่สามของของคณะถัดจากนักบุญเทเรซาแห่งพระเยซูเจ้าและนักบุญเทเรซาแห่งพระกุมารเยซู โดยสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 11


หากเปรียบชีวิตท่านก็เหมือนดอกหญ้าที่ซ่อนกายอยู่ท่ามกลางหญ้ามากมายในทุ่ง แม้มองเผินๆจะไม่เห็นท่าน แต่เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาถึง ท่านก็กลับโดดเด่นออกมาด้วยสีที่สะดุดตาท่ามกลางสีน้ำตาลของหญ้าป่านั้นและเมื่อถึงเวลา สายลมก็จะพัดพามันไปสู่ยังอีกสถานที่หนึ่ง ดังชีวิตของท่านที่ภายนอกเหมือนเด็กทั่วไปในช่วงแรกๆ แต่กลับกันในตอนท้ายของชีวิตท่านกลับโดดเด่นและแพร่กระจายไปทั่ว เฉกเช่นละอองหญ้าที่ปลิวไปตามสายลม

หากมองดีแล้วท่านคือผู้ที่เปี่ยมไปด้วยบุญลาภข้อที่ว่า เป็นบุญของผู้มีใจเมตตากรุณา เหตุว่าเขาจะได้รับพระเมตตาดุจเดียวกัน”(เทียบมัทธิว 5:7) เช่นกันท่านมีความเมตตาต่อภคินี นวกะผู้ป่วย ท่านอุทิศเวลเกือบทั้งหมดของท่านเพื่อเขา ไม่ใช่ความเมตตาหรือที่ทำให้ท่านทำสิ่งๆนี้  มิใช่ความรักดอกหรือที่ทำให้ท่านดูแลพวกเขา และเป็นความจริงตามพระวรสารเพราะหลังจากที่ท่านสิ้นใจไปแล้วท่านก็ได้ไปสวรรค์เพื่อรับบำเหน็จของท่านเอง อะไรคือเครื่องยืนยันนะหรือ? ก็อัศจรรย์ยังไงละ อัศจรรย์มากมายที่เกิดหลังจากที่ท่านสิ้นไปแล้ว นี้แหละคือเครื่องหมายของสวรรค์ที่ยืนยันว่าท่านไปสวรรค์แน่นอน

ข้าแต่ท่านนักบุญเทเรซา มาร์กาเร็ต แห่ง พระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ ช่วยวิงวอญเทอญ