วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

การประหารชีวิต ของคนสมัยเมื่อก่อน

มีข่าวว่ากรมราชทัณฑ์ดำริที่จะเปลี่ยนวิธีการประหารชีวิต จากการยิงด้วยปืนมาเป็นฉีดยา 
ปัจจุบันการประหารชีวิตนักโทษกระทำกันที่เรือนจำบางขวาง จังหวัดนนทบุรีเพียงแห่งเดียว ส่วนในอดีตไทยเราประหารชีวิตด้วยดาบ มาจนถึง พ.ศ.2477 จึงได้ยกเลิกการประหารชีวิตด้วยดาบ เปลี่ยนมาเป็นการประหารชีวิตด้วยปืน 
รายสุดท้ายที่ทำการประหารชีวิตด้วยดาบได้แก่รายประหารชีวิต นางล้วนในข้อหาฆ่าคนตาย โดยทำการประหารที่วัดหนองจอก ริมคลองแสนแสบ จังหวัดพระนคร 
สำหรับการประหารชีวิตในสมัยก่อน ครั้งรัชการที่ 5 ทำการประหารที่วัดโคก(วักพลับพลาไชย) ซึ่งสมัยนั้นเป็นวัดที่อยู่ในชนบท ห่างไกลจากชุมชน 
แต่ต่อมาก็ได้ย้ายมาทำการประหารที่วัดมักสันริมคลองแสนแสบ และที่วัดภาษีซึ่งอยู่ห่างออกไปในคลองเดียวกัน และที่อื่นๆอีก ทั้งนี้ ก็เพราะวัดเหล่านั้นได้เปลี่ยนแปลงจากวัดในชนบทมาเป็นวัดที่อยู่ในชุมชนตามกาลเวลา ไม่เหมาะสำหรับการประหารชีวิตอย่างแต่ก่อน 
ในสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อทางการสร้างเรือนจำบางขวางหรือคุกบางขวางขึ้นแล้ว ต่อมาจึงได้ทำการประหารชีวิตที่คุกบางขวางนี้ตลอดมาจนกระทั้งปัจจุบัน 
สำหรับการประหารชีวิต ในคุกบางขวางนี้ ได้ทำการประหารด้วยปืนเหมือนนานาประเทศส่วนใหญ่ใช้ ส่วนปืนที่ไทยใช้ก็คือปืนกลยี่ห้อแบล็กมันต์ โดยในระยะแรกๆ ทำการประหารชีวิตเวลาเย็น แต่ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นเช้ามืด 
ก่อนประหารชีวิต ก็ได้จัดให้พระมาเทศน์ให้นักโทษฟัง เสร็จแล้วก็มีการเลี้ยงอาหารนักโทษ พิธีการดังกล่าวเหมือนอย่างการประหารชีวิตนักโทษด้วยดาบในอดีต 
ย้อนกลับไปดูการประหารชีวิตในสมัยโบราณ ความจริงเมืองไทยเราไม่ได้ใช้ดาบเพียงอย่างเดียว แต่เรายังใช้เครื่องมือประหารอื่นๆ ตลอดจนวิธีประหารอื่นๆด้วย 
จากหนังสือกฎหมายตราสามดวง ซึ่งเป็นหนังสือกฎหมายที่รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าให้รวบรวมกฎหมายโบราณครั้งกรุงเก่าและกรุงธนบุรีมาประมวลไว้ด้วยกัน ได้กล่าวถึงการประหารชีวิต และเครื่องมือต่างๆ เช่น จากพระไอยการลักษรโจร กล่าวถึงการลักพระพุทธรูปเอาไปล้างหรือเผาสำรอกเอาทอง หรือเอาพระบท (ผพระคัมภีร์) ไปสำรอกแช่น้ำ หรือเอาไปเผา โทษประหารคือ เอาโจรนั้นใส่เตาเพลิงสูบเผาไฟ 
ถ้าขุดทำลายพระพุทธรูป พระสถูปเจดีย์ จับได้หลายครั้งหลายหน โทษประหารก็คือเอาโจรนั้นไปตระเวนบก 3 วัน ตระเวนเรือ 3 วัน แล้วตัดคอผ่าอกเสีย 
ถ้าทำให้เกิดเพลิงไหม้ในพระราชวัง โทษคือเอาไฟคลอกให้ตาย 
ในพระไอยการกระบดศึก ตอนหนึ่งว่านักโทษที่เป็นกบฏ ประทุษร้ายต่อพระเจ้าอยู่หัว ปล้นเมือง ปล้นพระนคร เผาจวน เผาพระราชวัง เผายุ้งฉาง คลังหลวง ปล้นวัด เผาวัด ทำทารุณกรรมหยาบช้าต่อพระและชาวบ้าน เช่นเอาปิ้งย่างเผาไฟ หรือเอาแหลนหลาวเสียบร้อนฆ่าบิดามารดาคณาจารย์ พระอุปัชณาย์ เหยียบย่ำทำลามกต่อพระพุทธรูป และตัดมือตัดเท้าตัดคอเด็ก เพื่อเอาเครื่องประดับ จะต้องถูกประหารโดยสถานใดสถานหนึ่งดังนี 

สถานหนึ่ง ให้ต่อยกระบาลให้ศีรษะแยกออก แล้วเอาคีมคีบก้อนเหล็กที่เผาไฟจนแดงใส่ลงไปให้มันสมองพลุ่งฟูขึ้น 
สถานหนึ่ง ให้ตัดเพียงหนังที่หน้าจดปากจดหูจดคอแล้วให้มุ่นกระหมวดผมเอาไม้ท่อนสอด ใช้คนโยกข้างละคน เอาหนังและผมออกแล้วจึงเอากรวดทรายหยาบขัดกระบาลศีรษะ ชำระให้ขาวสะอาดเหมือนพรรณสีสังข์(คือให้มีสีขาวเหมือนสีของหอยสังข์) 
สถานหนึ่ง เอาขอเกี่ยวปากไว้ แล้วเอาประทีปตามไว้ในปาก หรือไม่ก็เอาสิ่งคมๆแหวะหรือผ่าปากจนถึงใบหูทั้ง2ข้าง แล้วเอาขอเกี่ยวให้อ้าไว้ 
สถานหนึ่ง ให้เอาผ้าชุบน้ำมัน พันทั้งกายแล้วเอาเพลิงจุด 
สถานหนึ่ง ให้เชือดเนื้อเป็นริ้วๆตั้งแต่ใต้คอจนถึงข้อเท้าแล้วผูกเชือกฉุดคร่าตีด่า ให้เดินเลียริ้วเนื้อหนังของตนจนกว่าจะตาย 
สถานหนึ่ง ให้เอาห่วงเหล็กสวมข้อศอกข้อเข่า แล้วเอาหลักเหล็กสอดตรึงไว้กับพื้นดิน แล้วเอาเพลิงลนให้รอบจนกว่าจะตาย 
สถานหนึ่ง ให้เอาเบ็ดใหญ่ 2 คม เกี่ยวเพิกเนื้อหนังเอ็นใหญ่เอ็นน้อยให้หลุดขาดออกมาจนกว่าจะสิ้นมังสา 
สถานหนึ่ง ให้เอามีดที่มีคมเชือดเนื้อให้ตกออกมาจากกายทีละตำลึงจนกว่าจะสิ้นมังสา 
สถานหนึ่ง ให้แล่และสับฟันทั่วร่างกาย แล้วเอาแปลงหวีชุบน้ำแสบกรีดขุดลอกหนังและเนื้อกับเอ็นเล็กเอ็นน้อยออกให้สิ้น ให้เหลือแต่กระดูก 
สถานหนึ่ง ให้เอาน้ำมันเดือดๆราด รดสาดลงมาแต่ศีรษะ จนกว่าจะตาย 
สถานหนึ่ง ให้เอาฝูงสุนัขซึ่งกักขังไว้ให้อดอยาก กัดทึ้งเนื้อหนังร่างกายกินให้เหลือแต่กระดูก 
สถานหนึ่ง ให้เอาขวานฝ่าอกทั้งที่เป็นเหมือนแหกโครงเนื้อ 
สถานหนึ่ง ให้แทงด้วยหอกทีละน้อยๆ จนกว่าจะตาย 
สถานหนึ่ง ให้ขุดหลุมฝังเพียงเอวแล้วเอาฟางปกลงคลอกด้วยเพลิง พอหนังไหม้ก็ให้เอาเหล็กไถให้เป็นริ้วเล็กริ้วใหญ่ ท่อนเล็กท่อนใหญ่ 




สรุปแล้ว การประหารชีวิตในสมัยโบราณมีทั้งการทรมานไปด้วยในตัว ซึ่งกว่านักโทษประหารจะตายก็เจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัส เหมือนตกนรกทั้งเป็น 
วิธีการประหารดังกล่าว เมื่อต้นรัชกาลที่ 5 ก็ยังมีอยู่บ้าง เช่นเมื่อตอนเปลี่ยนรัชกาลใหม่ๆ ได้เกิดโจรผู้ร้ายชุกชุมทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด เมื่อเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ผู้สำเร็จราชการได้ทำการสืบจับโดยกวดขัน ในกรุงเทพจับตัวได้ก็ให้ทำการประหารชีวิตภายใน 15 วัน 2 ราย ส่วนที่มณฑลอยุธยา เมื่อจับ อ้ายอ่วม อกโรย (ชาวบ้านตำบลอกโรย) ซึ่งเป็นโจรปล้นฆ่าและข่มขืน กับจับ อ้ายสาย หัวหน้าโจรคนหนึ่ง ต่อมา เมื่อชาวบ้านเห็นว่าทางการปราบปรามจริง จึงได้เป็นสายพาข้าหลวงตามจับหัวหน้าโจรอีกเป็นจำนวนมาก 
เมื่อจับพวกโจรได้แล้ว เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จึงขึ้นไปกรุงเก่าพร้อมด้วยผู้พิพากษาในทันที พวกหัวหน้าโจรที่ต้องโทษประหารชีวิต เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์สั่งให้ประหารชีวิตด้วยการเอาขวานตัดหัวให้ขาดเป็น 2 ท่อน ที่หน้าพะเนียดคล้องช้างแห่งหนึ่ง ให้ผ่าอกที่วัดชีตาเห็น (บ้านหักไห่) อีกแห่งหนึ่ง 
การประหารทั้ง 2 แห่งนี้ ได้มีการป่าวร้องให้คนมาดูโดยหวังจะให้คนพาลสยดสยอง เรื่องนี้แม่ใครจะติเตียนว่าทำการประหารอย่างทารุณ แต่ก็ต้องตอมรับว่าได้ผล ด้วยโจรผู้ร้ายตามหัวเมืองสงบโดยทันที 
ในรัชกาลที่ 5 การประหารชีวิตส่วนใหญ่ใช้วิธีการประหารด้วยดาบ แต่ก่อนจะถูกประหารนักโทษจะต้องถูกเฆี่ยน 3 ยก (90ที) 
ปัจจุบันการประหารชีวิตด้วยปืน ไม่มีการเฆี่ยนเหมือนอย่างแต่ก่อนแล้ว เป็นการตายด้วยการยิงสถานเดียว 
ถึงกระนั้นคนไทยในยุคปัจจุบันก็ยังถือว่าการประหารด้วยปืนเป็นวิธีที่หวาดเสียว สมควรที่จะเปลี่ยนวิธีประหาร เป็นการฉีดยาให้ตายดังกล่าว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น